มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่อยู่หน้าโต๊ะบูชาสองสามจั้งฉับพลันระเบิด กระทั่งหมอกสีดำที่ล้อมอยู่ใกล้ๆ ก็พังทลายสลายหายไปในพริบตาทั้งหมดด้วย
หลังเสียงแค่นหยันทีหนึ่ง บุรุษผมม่วงก็ลุกขึ้นมาจากบนพื้นช้าๆ เสื้อผ้าครึ่งท่อนบนของเขากลายเป็นเถ้าธุลีทั้งหมดเผยลวดลายจิตวิญญาณสีดำเหลืองแผ่ไปทั่วผิวหนัง สองตาแดงฉานดุจโลหิต
หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้ล้วนพรั่นพรึง ในใจหลิ่วหมิงรู้สึกท่าไม่ดีอยู่เลือนราง
“คิดไม่ถึงว่าการทดสอบกระจอกๆ ครั้งหนึ่งกลับต้องเปลืองโลหิตบริสุทธิ์ของตัวเองหนึ่งหยด ไม่อาจให้อภัยได้จริงๆ!” ชายหนุ่มผมม่วงเงยหน้ามองพวกหลิ่วหมิงสองคนอย่างเย็นชา จากนั้นพ่นออกมาทีละคำด้วยใบหน้าชั่วร้าย
เสียงพูดเพิ่งจบลง เขาก็กู่ร้องยาว ลวดลายจิตวิญญาณสีดำเหลืองทั่วร่างฉับพลันส่องสว่าง ทันใดนั้นเลือดก็พุ่งออกมาจากผิวหนังเป็นสายนับไม่ถ้วนกลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งล้อมเขาไว้ตรงกลางจากนั้นเขาก็ก้าวยาวออกมา เสียง “ตึง” ดังขึ้นไม่กี่หนเขาก็ก้าวผ่านระยะหลายจั้ง ชั่วพริบตามาถึงหน้าโต๊ะบูชาแล้วฉวยหีบไม้ที่มีปราณจิตวิญญาณสีม่วงอ่อนใบนั้นด้านซ้ายสุดมาไว้ในมือ
เหตุพลิกผันน่าตะลึงเช่นนี้ย่อมทำให้หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มรถเงินหน้าถอดสี
ทว่ายังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะตอบสนอง เรื่องประหลาดก็บังเกิดขึ้น!
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นหนึ่งหน!
สองตาของรูปสลักผู้เฒ่าคนนั้นด้านหลังโต๊ะบูชาเปล่งแสงจิตวิญญาณออกมา แสงสีทองประหนึ่งวัตถุจริงสองสายพุ่งออกมากวาดผ่านหน้าโต๊ะบูชาในพริบตา
หลังบุรุษผมม่วงถูกแสงสีทองโอบล้อมก็หายไปไร้ร่องรอย
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ตอนนี้ถึงเข้าใจ หีบไม้สามใบเห็นชัดว่าเป็นของทั้งสามคนคนละใบ เพียงแต่คนที่ไปถึงก่อนมีสิทธิ์เลือก แต่หลังเลือกปุบก็จะถูกเคลื่อนย้ายจากไปทันที
เป็นเช่นนี้ในใจเขาย่อมโล่งอก จากนั้นยกเท้าก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง
ชายหนุ่มรถเงินก็โล่งอก ก้าวเดินเชื่องช้าไปทีละก้าวเช่นกัน
แม้เวลานี้ทั้งสองคนอยู่ห่างจากโต๊ะบูชาเพียงไม่กี่ก้าว แต่ไม่กี่ก้าวสุดท้ายนี้กลับก้าวเดินยากลำบากไม่ธรรมดา ช่วงสุดท้ายหลิ่วหมิงแทบจะฝืนลากร่างเดินไปจนจบ
ชายหนุ่มรถเงินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน การควบคุมหุ่นนานาชนิดและชุดเกราะจักรกลอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ทำให้เขาแบกรับภาระหนักยิ่งอยู่แล้ว เมื่อเดินไม่กี่ก้าวสุดท้ายนี้จบทั้งร่างก็เหงื่อไหลโชกทันที
ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าโต๊ะบูชาแทบจะในเวลาเดียวกัน หลังสบตากันหนหนึ่ง หลิ่วหมิงจึงยิ้มน้อยๆ สะบัดแขนเสื้อ ลากหีบไม้ที่ส่องแสงสีเงินขมุกขมัวใบนั้นเข้ามา
แสงสีทองสองสายพุ่งออกมาจากรูปสลักผู้เฒ่าเฉกเช่นเดียวกัน เขารู้สึกว่ามีแสงสีทองสว่างวาบตรงหน้า หลังร่างกายชาเล็กน้อยก็หายไปจากตรงนั้น
ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้ก็เม้มปากยิ้มขมขื่นเล็กน้อย เขาหยิบโอสถที่ส่องแสงสีน้ำเงินขมุกขมัวเม็ดหนึ่งออกมากลืนลงไปจากนั้นจึงคว้าหีบไม้ที่มีปราณจิตวิญญาณสีทองอ่อนปกคลุมอยู่ใบนั้นที่เหลือมาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นจึงถูกแสงสีทองโอบล้อมหายไปเช่นเดียวกัน
……
ชั่วครู่ให้หลังแสงสีทองเบื้องหน้าหลิ่วหมิงก็สลายไป เขาส่ายศีรษะที่หนักอึ้งเล็กน้อยแล้วถึงลืมสองตาขึ้น เขาพบว่าตนปรากฏตัวขึ้นที่โลกสีเลือดแห่งหนึ่ง
ไม่ว่าพื้นดิน ท้องฟ้าหรือกระทั่งยอดเขาที่เห็นอยู่เลือนรางไกลๆ ทั้งหมดล้วนเป็นสีเลือดทั้งสิ้น
ห่างไปสิบกว่าจั้ง บุรุษผมม่วงแห่งหอเป๋ยโต่วซึ่งไม่รู้เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสีเทาชุดหนึ่งตั้งแต่เมื่อไรกำลังมองเขาอย่างเย็นชา ท่าทางร่ำๆ อยากจะลงมือ
บนเนินดินสีเลือดลูกหนึ่งห่างไปราวไม่กี่สิบจั้งอีกด้านมีเงาร่างคุ้นตาหลายร่างอยู่
หลิ่วหมิงเพ่งสายตามองจึงพบว่าเป็นเซวียผาน สตรีชุดเขียว บุรุษหน้าเหยี่ยวรวมถึงศิษย์อัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับ ใต้เนินเขายังมีคนหลายคนยืนอยู่ตรงนั้นอีก พวกเขาคือหลัวเทียนเฉิง พี่น้องโอวหยางและเผิงเยวี่ย
พวกเขาจับกลุ่มสองคนสามคนบ้างนั่งบ้างยืน ส่วนใหญ่หน้านิ่วคิ้วขมวด
หลิ่วหมิงเห็นคนเหล่านี้อยู่ที่นี่ไม่ตกหล่นสักคนย่อมตาค้างไปอยู่บ้าง
ตามหลักแล้วหลังตกรอบหรือได้รับรางวัลในแดนแห่งมรดกย่อมถูกเคลื่อนย้ายออกไปด้านนอก กลับไปในแดนลึกลับประตูสวรรค์
เขาเห็นชัดเจนกับตาว่าตอนหลัวเทียนเฉิงประลองกับชายหนุ่มผมม่วง เขาบีบโซ่แห่งโชคชะตาจนแหลกด้วยตนเองเพราะสถานการณ์วิกฤติ เวลานี้เขาสมควรออกจากแดนลึกลับประตูสวรรค์กลับไปด้านนอกแล้วแท้ๆ ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก
พร้อมกับที่เขาสงสัยอย่างยิ่ง กลุ่มคนด้านนั้นก็ค้นพบแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตรงนี้ พากันเคลื่อนสายตามองมา หลังเห็นเหลิ่วหมิงกับบุรุษผมม่วงด้านข้าง แต่ละคนก็มีสีหน้าต่างกันไป
โอวหยางเชี่ยนกับเผิงเยวี่ยบนหน้าฉายแววยินดีจางๆ แต่จากนั้นความกังวลก็เข้าแทนที่ในทันใด
บุรุษหน้าเหยี่ยว สาวน้อยชุดเขียวกับสตรีจากสำนักเฮ่าหรานสีหน้าเรียบเฉย
ส่วนศิษย์อัปลักษณ์จากหุบเขาปีศาจสวรรค์เพียงเหล่ตามองเล็กน้อยจากนั้นละสายตาออกอย่างรวดเร็ว ท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจการปรากฏตัวของพวกหลิ่วหมิงสองคนสักนิด
“พี่เผิง นี่เกิดอะไรขึ้น ที่นี่คือที่ใด” หลิ่วหมิงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีเล็กน้อย เขาเหาะขึ้นฟ้าบินมายังเนินดินด้านนั้นในทันใด ยังไม่ทันร่อนลงมา เผิงเยวี่ยก็ประสานมือเอ่ยปากถามเขาแต่ไกลก่อนแล้ว
“สหายหลิ่ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็เข้ามาด้วย ที่แห่งนี้ค่อนข้างประหลาด ข้ากับสหายทั้งหลายที่เหลือถูกขังอยู่มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ใช้วิธีการไม่น้อยก็ยังไม่อาจสืบหาสถานการณ์ของที่แห่งนี้ให้กระจ่างได้ พวกเราปรึกษากันแล้วคิดว่าแดนแห่งมรดกคงเกิดสถานการณ์บางอย่างจึงเกิดความผิดปกติ อีกประการไม่ทราบว่าพี่หลิ่วเห็นอาจารย์อาเล็กของข้าหรือไม่” เผิงเยวี่ยลูบศีรษะยิ้มเจื่อนเอ่ยตอบ
“อะไรนะ ความผิดปกติหรือ ถ้าเป็นอาจารย์อาของท่าน…” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึง ยังไม่ทันตอบอะไรมาก ทันใดนั้นบนที่ว่างอีกแห่งหนึ่งบนเนินดินไม่ไกล แสงสีทองก็สว่างขึ้นวูบหนึ่ง ร่างของคนผู้หนึ่งโซเซปรากฏตัวออกมา
ชายหนุ่มรถเงินแห่งนิกายเทียนกงนั่นเอง
“อาจารย์อาเล็ก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา