ชวีเหยากรีดร้อง เมื่อแก่นแท้ถูกทำลาย ปราณของมันก็สลายไปในพริบตากลับมาเป็นระดับผลึกเท่านั้น
หลิ่วหมิงสะบัดฝ่ามืออีกข้าง ปราณสีดำสนิทประหนึ่งหมึกก่อตัวขึ้น ประกายแสงสีแดงดำสองสายพุ่งพรวดออกมาประหนึ่งสายฟ้าแลบ
เสียงเปรี๊ยะดังขึ้นสองหน
ปราณแกร่งคุ้มร่างของชวีเหยาก็ถูกประกายแสงโจมตีทีเดียวทะลุ แสงสีแดงพุ่งวูบทะลุดวงตาสองข้างไป
“กรี๊ด!”
สองตาของชวีเหยาพริบตาเดียวกลายเป็นรูเลือดขนาดเท่ากำปั้นสองรู พร้อมกันนั้นปากก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาในทันใด
กระบี่ว่างเปล่าพร่าเลือนวูบหนึ่งก็แล่นมาถึง มันกลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งวนรอบหัวของหนอนไหมยักษ์
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง หัวใหญ่โตก็กลิ้งหลุนๆ ร่วงลงมาจากบนร่าง ร่างกายหนอนไหมยักษ์กระตุกไม่กี่หนก็ร่วงลงมาจากฟ้าด้วย
ตอนนี้เองกระบี่ว่างเปล่าก็หมุนติ้วอีกหน ซัดแสงกระบี่เย็นเยียบแถบแล้วแถบเล่าออกมา ชั่วพริบตากลบหัวและร่างของชวีเหยาไว้ด้านใน ทำให้พวกมันทั้งหมดกลายเป็นเนื้อแหลกเละกองใหญ่
ปราณดำบนมือหลิ่วหมิงค่อยๆ สลายไป เกล็ดมังกรเจ็ดแปดเกล็ดบนกำปั้นจมหายเข้าไปในร่าง
ประกายแสงสีแดงดำสองจุดนั่นก็คือเกล็ดมังกรที่เขาอาศัยโลหิตปีศาจสวรรค์หลอมขึ้นมาใหม่อย่างยากลำบาก เมื่อหลุดออกจากร่างพุ่งพรวดออกไปทรงพลังอย่างที่สุด ทว่าเป็นของใช้แล้วหมดไป ใช้หนึ่งเกล็ดก็น้อยลงหนึ่งเกล็ด
พริบตานั้นที่ชวีเหยาถูกสังหาร ผีเสื้อจิตวิญญาณสีเทาที่สู้อยู่กับสามคนที่เหลือเหล่านั้นก็พากันระเบิดกลายเป็นไอหมอก
หลังหลิ่วหมิงเรียกเงาโคสีน้ำเงินกับกระบี่ว่างเปล่ากลับมาแล้วก็พลิกมือเอาโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งออกมากลืนลงไป จากนั้นเหลียวกลับไปมองคนที่เหลือ
ศึกดุเดือดต่อเนื่องครั้งนี้ แม้พลังเวทในร่างของเขาจะบริสุทธิ์เหนือกว่าคนธรรมดามาก แต่ตอนนี้ก็ผลาญไปเจ็ดแปดส่วนในสิบส่วนแล้ว
บุรุษผมม่วงใกล้ๆ กวักมือข้างหนึ่ง ระฆังทองแดงยักษ์กลางอากาศก็หมุนติ้วกลับคืนขนาดเดิมพุ่งลงมาในมือ จากนั้นร่างกายของเขาก็ขยับว่องไวเหาะร่อนลงบนพื้น หยิบโอสถขวดหนึ่งออกมากลืนลงไปแล้วเริ่มนั่งสมาธิ
ชายหนุ่มรถเงินกับหลัวเทียนเฉิงก็ไม่ได้ดีไปกว่า หลังเก็บอาวุธจิตวิญญาณและพลังไปก็พากันร่อนลงบนพื้นนั่งสมาธิโคจรปราณเช่นกัน
เห็นชัดว่าศึกเมื่อครู่ พวกเขาก็ใกล้เป็นโคมไฟหมดเชื้อแล้วเช่นกัน
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างกับทั้งสามคน ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ร่างกายพร่าเลือนหายไปกะทันหันแล้วปรากฏตัวขึ้นไกลออกไป
หลังจากนั้นเสียง “ฟึบ” ทีหนึ่งก็ดังขึ้น ตรีศูลสีดำเล่มหนึ่งพุ่งโจมตีผ่านจุดที่เขาเคยยืนอยู่ประหนึ่งสายฟ้าแลบ แต่แน่นอนว่าพลาดเป้า
หลังจากนั้นบนอากาศว่างเปล่าใกล้ๆ แสงโลหิตเจิดจ้าแสบตาก้อนหนึ่งก็ระเบิดออกมา พร้อมกันนั้นไอหมอกสีแดงแถบใหญ่ก็โถมออกมาจากความว่างเปล่า
กลางไอหมอกสีแดงเงาคนมหึมาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น บนศีรษะมีเขาคู่หนึ่ง บนแผ่นหลังก็มีปีกเนื้อสีเลือดขมุกขมัวคู่หนึ่ง
ดูจากสภาพแล้ว มันก็คือตรีศูลโลหิตที่เร้นกายหายไปตลอดก่อนหน้านี้นั่นเอง ทว่าเวลานี้ขนาดร่างของมันใหญ่ขึ้นมากกว่าสิบเท่า มีขนาดสิบกว่าจั้งประหนึ่งยักษ์ตนหนึ่ง
สองตาของหลิ่วหมิงหรี่ลง ไม่พูดพร่ำเป็นคำที่สองก็สะบัดแขนเสื้อ กระบี่ว่างเปล่าออกมาขวางหน้าร่าง
พวกหลัวเทียนเฉิงที่เดิมนั่งขัดสมาธิอยู่ก็หน้าถอดสีกระโดดลุกขึ้นทันที บ้างกระตุ้นวิชา บ้างปล่อยอาวุธจิตวิญญาณป้องกันออกมา ท่าทางของทุกคนประหนึ่งศัตรูตัวฉกาจมาเยือน
ตรีศูลโลหิตยักษ์กลับไม่มองคนทั้งหลายเบื้องล่าง มันอ้าปากกว้าง แสงสีแดงผืนหนึ่งซัดออกมา หอบศพของชวีเหยาที่เป็นเนื้อแหลกเละเบื้องล่างพุ่งกลับเข้าไปในปาก เคี้ยวสองคำก็กลืนลงไปหมดสิ้น
“ฮิฮิ…”
ตรีศูลโลหิตแหงนหน้าส่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมาพักหนึ่ง ในที่สุดก็มองมาทางพวกหลิ่วหมิง ดวงตาใหญ่ยักษ์คู่หนึ่งคล้ายมีแววตาลังเลปรากฏขึ้น ทว่าครู่ต่อมาบนร่างก็เปล่งแสงสีแดง รอบร่างหมอกโลหิตถาโถมพลุ่งพล่านออกมา เงาร่างใหญ่ยักษ์เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ด้านใน
พวกหลิ่วหมิงอดไม่ได้มองหน้ากัน
“สัตว์ประหลาดตัวนี้คิดจะทำอะไร?” ชายหนุ่มรถเงินอดไม่ได้อ้าปากเอ่ยขึ้น
“ไม่ทราบ แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเรา” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ไม่ว่าอย่างไรสามตนก็กำจัดไปแล้วสอง พวกเราสู้อีกสักตั้งเถอะ จัดการสัตว์ประหลาดตัวสุดท้ายนี่น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอันใดกระมัง?” หลัวเทียนเฉิงสูดหายใจลึกทีหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
“ศิษย์น้องหลัวอย่าได้ลืม สัตว์ประหลาดสามตัวนี้ล้วนเป็นเพียงร่างแปลงชั่วคราวเท่านั้น ใครจะรู้ว่าร่างต้นของพวกมันอยู่ใกล้ๆ หรือไม่” หลิ่วหมิงกลับเอ่ยตอบเรียบๆ
“เจ้าบอกว่าร่างต้นของพวกมันอยู่ในแดนลึกลับ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?” หลัวเทียนเฉิงท่าทางไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิง
“ฮึฮึ นี่ก็ไม่แน่ เจ้าคิดว่ามิติที่ขังพวกเราไว้พร้อมกันได้เช่นนี้ ร่างแปลงระดับแก่นแท้ไม่กี่ตนนี่จะสร้างออกมาได้หรือ” เวลานี้บุรุษผมม่วงกลับหัวเราะเอ่ยขึ้น
หลัวเทียนเฉิงได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปมาหลายครั้ง ขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไร ทันใดนั้นแผ่นดินเลือดเนื้อใต้เท้าพวกเขาก็ส่งเสียงอื้ออึงออกมาจากข้างใต้ นอกจากนี้เสียงจากเบากลายเป็นดัง จากช้ากลายเป็นเร็ว ยิ่งดังสนั่นขึ้นทุกที ยิ่งถี่ขึ้นทุกที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา