หลังจากนั้นพวกหลิ่วหมิงกลับไปยังจุดรวมตัวของแต่ละนิกาย เสวียนอู่ทูตแห่งวังสวรรค์เดินมาถึงหน้าป้ายศิลาอีกครั้ง เขาพลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลศิลาสีน้ำเงินเก่าเรียบง่ายแผ่นหนึ่งออกมา ปากเอ่ยท่องมนตร์งึมงำไม่หยุด แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งจมลงไปในป้ายศิลา
ผิวหน้าของป้ายศิลาฉับพลันฉายแสงสีน้ำเงินพักหนึ่ง ชื่อของคนทั้งหมดและแต้มโชคชะตากะพริบวูบหนึ่งก็หายไปจากบนป้ายศิลา
ชั่วครู่ให้หลังแสงสีน้ำเงินบนป้ายศิลาก็รวมตัวกันอีกครั้ง ลำดับชื่อของนิกายและตระกูลแต่ละแห่งปรากฏขึ้น
นิกายยอดบริสุทธิ์ครองอันดับหนึ่งในงานประตูสวรรค์ครั้งนี้ด้วยแต้มโชคชะตาทั้งหมดโซ่ทองเจ็ดเส้นครึ่ง แต้มโชคชะตามากกว่าหอเป๋ยโต่วที่อยู่อันดับที่สองเพียงหนึ่งในสิบส่วนของโซ่ทอง ส่วนที่สามคือนิกายเทียนกง นิกายปีศาจลี้ลับตามติดๆ มาด้านหลัง ต่อมาคือตระกูลมู่หรง หุบเขาปีศาจสวรรค์ สำนักเฮ่าหรานได้เพียงอันดับที่เจ็ด ต่อจากนั้นถึงเป็นตระกูลโอวหยางตามอยู่ข้างหลัง จากนั้นจึงเป็นตระกูลอื่นกับนิกายที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจำนวนหนึ่ง
เห็นอันดับสรุปสุดท้ายบนป้ายศิลานี้ บนหน้าผู้อาวุโสของนิกายสำนักและตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็มีสีหน้าต่างๆ กันไป
“นิกายยอดบริสุทธิ์…หลิ่วหมิง…”
ประมุขหอเป๋ยโต่วมองป้ายศิลา บนหน้าเผยความคิดไม่ถึงจางๆ ออกมาเช่นกัน หลังกวาดสายตามองไปทางที่หลิ่วหมิงกับเทียนเกอเจินเหรินอยู่ทีหนึ่งก็ยิ้มเล็กน้อย
เขาเหมือนไม่ใส่ใจเรื่องที่อันดับหนึ่งซึ่งเดิมอยู่ในมือถูกนิกายยอดบริสุทธิ์ชิงไปกะทันหันสักนิด
“อืม วันนี้มีหอเป๋ยโต่วสอดมือ ได้อันดับเท่านี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” ตรงนิกายเทียนกง บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยพึมพำ สองคนที่เหลือก็พยักหน้าหลายหนด้วย
ผู้เฒ่าชุดดำที่นำคณะของตระกูลมู่หรง เวลานี้สองมือไพล่หลังยืนตัวตรง เงียบงันไม่เอ่ยวาจา
“พี่น้องมู่หรงพยายามเต็มที่แล้ว เพียงแค่งานประตูสวรรค์ครั้งนี้คล้ายจะมีจุดน่าสงสัย คนเหล่านั้นที่ออกมาท้ายสุดกลับสั่งสมโชคชะตาได้มากเช่นนี้ ตามหลักแล้วแม้มรดกร้ายกาจอีกเท่าใด โชคชะตาที่มอบให้ก็ไม่มีทางมากเช่นนี้” ผู้เฒ่าผมขาวอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ ที่ศิษย์เหล่านี้ได้โชคชะตามากมายเช่นนี้ เกรงว่ากว่าครึ่งคงเกี่ยวพันกับเหตุผิดปกติก่อนหน้านี้” ผู้เฒ่าชุดดำแค่นเสียงหยันตอบกลับ
ในใจหลิ่วหมิงค่อนข้างฉงน ไม่ทราบว่าเหตุใดตนเองจึงได้โชคชะตามามายมายเช่นนี้ ทว่าเมื่อครุ่นคิดให้ละเอียด กว่าครึ่งคงเกี่ยวข้องกับที่เขาลงมือสังหารร่างแปลงของสัตว์ประหลาดสองตัวนั้นด้วยมือตนเอง
“ต่อจากนี้ ขอเชิญผู้อาวุโสจากนิกายและตระกูลใหญ่ต่างๆ ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ครั้งนี้ นำสมบัติพิทักษ์สำนักของแต่ละแห่งออกมารับโชคชะตา!”
ระหว่างที่ผู้คนที่นั่นยังคงถกเถียงกันเกี่ยวกับลำดับที่ปรากฏขึ้นท้ายสุดของงานประตูสวรรค์ เสวียนอู่ที่อยู่ข้างป้ายศิลาก็ประกาศด้วยเสียงกังวานทรงพลังอีกหน
เสียงไม่ดังทว่าดังขึ้นในหูของคนทั้งหมดที่นั่นชัดเจนอย่างยิ่ง
ชั่วขณะหนึ่งบนยอดเขาหิมะเงียบสงบลงอีกครั้ง
ต้องรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าสมบัติพิทักษ์สำนักของแต่ละสำนักแต่ละนิกายได้ ไม่มีชิ้นใดไม่ใช่ระดับสมบัติเวท ส่วนใหญ่คงอยู่มาตั้งแต่ก่อตั้งสำนักนิกาย ยามปกติเก็บรักษาไว้ในสถานที่ต้องห้าม ศิษย์ทั่วไปไม่มีวาสนาเห็นแม้แต่น้อย
เมื่อผ่านการหล่อหลอมสั่งสมพลังไม่ทราบนานเท่าไร สมบัติพิทักษ์สำนักเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวพันแน่นแฟ้นกับเส้นปราณของนิกายตนผสานเป็นหนึ่งเดียว ไม่เพียงตัวมันเองครอบครองพลังอำนาจยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยามปกติยังนำมาใช้เป็นดวงตาค่ายกลของมหาค่ายกลพิทักษ์สำนักหรือเครื่องป้องกันความชั่วร้ายอีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้นิกายแห่งหนึ่งครอบครองสมบัติพิทักษ์สำนักหลายชิ้นก็ย่อมไม่นำออกมาจากสำนักง่ายๆ คนนอกคิดจะลอบมองหน้าตาที่แท้จริงยิ่งยากประหนึ่งเหยียบขึ้นสวรรค์ มีเพียงงานประตูสวรรค์เช่นนี้เท่านั้นถึงมีโอกาสน้อยนิดนั่น
งานประตูสวรรค์แปดร้อยปีถึงจะจัดขึ้นครั้งหนึ่ง พลาดครั้งนี้ไปปุบก็ได้แต่รออีกแปดร้อยปี
ดังนั้นไม่ว่าผู้ฝึกฝนอิสระจากที่ต่างๆ หรือศิษย์จากแต่ละนิกายแต่ละตระกูลที่นั่น เวลานี้ส่วนใหญ่ล้วนปิดปากไม่ส่งเสียง คนทั้งหมดรอคอยแต่ละนิกายเผยสมบัติพิทักษ์สำนักออกมาอย่างตื่นเต้นไม่ธรรมดาเพื่อเปิดหูเปิดตาดีๆ สักหน
ตรงที่รวมตัวของนิกายยอดบริสุทธิ์ เทียนเกอเจินเหรินสะบัดแขนเสื้อทันที แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งสว่างขึ้น ในมือฉับพลันมีคทาเวทสีน้ำเงินอันหนึ่งออกมา
คทานี้ยาวราวสองสามฉื่อ แสงสีน้ำเงินระยิบระยับ ดูแล้วค่อนข้างเก่าแก่เรียบง่าย ส่วนยอดเป็นรูปหัวมังกรหัวหนึ่ง สองตาเจิดจ้าประหนึ่งมีจิตวิญญาณ ส่วนตัวคทาประหนึ่งร่างกายของมังกรสีน้ำเงินตัวหนึ่งพันขดอยู่ด้านบน พร้อมกันนั้นร่างมังกรก็มีลวดลายจิตวิญญาณสีทองอ่อนวงแล้ววงเล่าแผ่อยู่เต็ม นับอย่างละเอียดมีมากถึงหนึ่งร้อยแปดวง คทาเวททั้งด้ามแลดูประหนึ่งมังกรน้ำเงินตัวหนึ่ง แผ่แสงรัศมีสีน้ำเงินอ่อนโยนและอบอุ่นสายแล้วสายเล่าออกมา
แสงสีน้ำเงินสาดส่องลงมา หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงทั้งร่างมีปราณอุ่นร้อนสายหนึ่งไหลเวียนทั่วร่างไม่หยุด พลังเวทที่เดิมทีเกือบจะแห้งเหือดในร่างค่อยๆ เต็มเปี่ยมขึ้นมา
“ที่แท้นี่ก็คือสมบัติพิทักษ์สำนักของนิกายยอดบริสุทธิ์ ไม่ธรรมดาจริงๆ” เขาเอ่ยพึมพำกับตนเองหนึ่งประโยคในทันที
หลิ่วหมิงสงบอารมณ์แล้วหันสายตามองไปรอบด้าน คนของนิกายใหญ่ที่เหลือก็ล้วนนำสมบัติพิทักษ์สำนักของแต่ละคนออกมาแล้ว
ในมือของบุรุษเสื้อสั้นสีเหลืองคนหนึ่งของนิกายเทียนกงมีแผ่นค่ายกลแปดเหลี่ยมที่ส่องแสงสีเหลืองขมุกขมัวขนาดหนึ่งฉื่อกว่าแผ่นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา บนแผ่นค่ายกลแปดเหลี่ยมสลักลายปีศาจอสูรหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ดูราวประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งไว้ ส่วนตรงกลางแผ่นค่ายกลกลับมีลวดลายจิตวิญญาณละเอียดยิบวงแล้ววงเล่ากำลังส่องแสงรัศมีสีแดงประหลาดทำให้คนขวัญสะท้านอยู่
บัณฑิตวัยกลางคนของสำนักเฮ่าหราน มือข้างหนึ่งถือคัมภีร์ที่ส่องแสงสีทองอร่ามม้วนหนึ่ง อีกมือหนึ่งไพล่อยู่หลังร่าง อาภรณ์โบกสะบัด รอบร่างคล้ายถูกคัมภีร์สีทองอาบอยู่ ถูกห้อมล้อมด้วยแสงสีทองชั้นหนึ่ง บนร่างคล้ายเต็มไปด้วยกลิ่นอายความยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจล่วงเกินสายหนึ่ง
ผู้เฒ่าชุดดำปักไหมทองคนหนึ่งจากนิกายปีศาจลี้ลับสองแขนกอดอก ใบหน้าไร้อารมณ์ลอยอยู่กลางอากาศ ธงปีศาจกระดูกขาวที่ทั้งผืนส่องแสงสีดำขมุกขมัวใหญ่ถึงสามสี่จ้างผืนหนึ่งลอยอยู่ข้างกาย รอบด้านปราณดำสายแล้วสายเล่าวนเวียน มีวิญญาณเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ทั้งยังมีเสียงภูตผีโหยหวนดังออกมาเป็นพักๆ
ในเวลาเดียวกันแปดตระกูลใหญ่ที่เหลือรวมถึงประมุขและผู้อาวุโสของนิกายใหญ่กลางเล็กแต่ละแห่งเวลานี้ก็พากันนำสมบัติพิทักษ์ของแต่ะคนออกมา ชั่วขณะหนึ่งแสงจิตวิญญาณนานาสีสันปรากฏขึ้นต่อเนื่อง ปราณจิตวิญญาณในที่นั้นผสมปนเปทั้งยังเข้มข้นอย่างที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา