เฟิงชิงโม่กวาดสายตามองรอบด้าน ดวงตาเผยแววตาไม่พอใจค่ายกลนี้นัก เขาพลิกมืออีกครั้ง เรียกธงน้อยที่ส่องแสงสีฟ้าขมุกขมัวออกมาอีกหลายสิบผืน จากนั้นโยนไปกลางอากาศ นิ้วทั้งสิบของทั้งสองมือเปลี่ยนแปรดั่งวงล้อ ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าไปยังธงน้อยสีฟ้าอ่อน
หลังธงน้อยเหล่านี้วนกลางอากาศรอบหนึ่งก็พากันกระจายออกไปรอบด้าน ร่วงลงในค่ายกลที่วางเมื่อครู่อย่างเป็นระเบียบ พร้อมกันนั้นม่านแสงสีฟ้าอ่อนชั้นแล้วชั้นเล่าก็ส่องสว่างต่อกัน จากนั้นหายวับไปกลางอากาศดุจเดียวกัน
พลังสายตาของหลิ่วหมิงเฉียบแหลมปานใด ในชั่วเวลาสั้นๆ เมื่อครู่ เขาเห็นชัดว่าคนผู้นี้ถึงกับวางค่ายกลที่เหมือนกันทุกประการออกมาซ้ำอีกหกชุด!
แม้ตัวเขานับว่าเป็นคนที่มีทรัพย์สินไม่ธรรมดา แต่เห็นภาพเช่นนี้ ในใจก็ยังอดไม่ได้ลอบหัวเราะเฝื่อนๆ กับตนเองหลายที
ถึงในมือจะมีหินจิตวิญญาณมากหลายสิบล้าน แต่จะต้องเสียหินจิตวิญญาณมากเช่นนี้เพื่อวางกับดักเพียงอันเดียว เกรงว่าเขาก็คงรู้สึกลังเลอยู่มากเช่นกัน
ผู้เฒ่าอวบอ้วนจากนิกายหยกทองผู้นั้นกลับสีหน้าสงบนิ่งกับภาพเช่นนี้ ท่าทางประหนึ่งเห็นจนชิน
“ผู้อาวุโสหวง ค่ายกลห้วงนทีเจ็ดชุดนี่เพียงพอสกัดการเคลื่อนไหวของปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าตัวนั้นแล้วหรือยัง หากยังไม่พอ ในมือข้ายังมีอุปกรณ์ค่ายกลที่ทรงพลังมากกว่าอีกสองชุด เพียงแต่ต้องรบกวนท่านเสียพลังเวทมากหน่อยตอนควบคุม” เฟิงชิงโม่สะบัดแขนเสื้อ มองไปหาผู้เฒ่าร่างอ้วนพลางเอ่ยปากถามเช่นนี้อย่างไม่ใส่ใจสักนิด
“ฮ่ะๆ เจ็ดชุดเพียงพอแล้ว หากนายน้อยเพิ่มไปอีกสองชุด ข้าเกรงว่าคงไม่มีพลังเวทเหลือไปควบคุม ใช่แล้ว นายน้อยอย่าลืมวางยันต์วายุสะบั้นที่นิกายทำขึ้นมาเป็นพิเศษไว้ในค่ายกลนะขอรับ” ผู้เฒ่าอวบอ้วนหัวเราะฮ่ะๆ เอ่ยขึ้น
“นั่นแน่นอน”
หลังเฟิงชิงโม่หัวเราะฮ่าๆ ก็เหลือบมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งเหมือนตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเอายันต์ที่ส่องแสงสีขาวขมุกขมัวตั้งหนาตั้งหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ มีมากถึงยี่สิบกว่าแผ่น
ร่างกายเขาขยับวูบหนึ่งก็มาถึงใจกลางค่ายกลอีกครั้ง ร่างกายหมุนอยู่กับที่รอบหนึ่ง แสงสีขาวในมือสว่างขึ้นต่อเนื่อง ส่งยันต์เหล่านี้ในมือจมลงไปรอบด้านค่ายกล
ต่อจากนั้นเฟิงชิงโม่ก็พลิกมือเรียกแก่นจันทน์สีแดงก่ำยาวครึ่งฉื่อกำหนึ่งออกมาแล้วเสียบไว้ใจกลางค่ายกล
หลังจากนั้นเขาก็ลูบคางคล้ายคิดสิ่งใดอีก มือข้างหนึ่งคลำข้างเอว ในมือมีแก่นจันทน์สีแดงก่ำเหมือนก่อนหน้านี้กำหนึ่งออกมาเพิ่มอีก เสียบลงไปใต้เท้าทั้งหมดอย่างไม่ลังเลสักนิด
“เช่นนี้ถึงแน่ใจว่าจะไม่พลาด!” หลังทำทุกสิ่งนี้เสร็จ ในดวงตาผู้ฝึกฝนชุดขาวถึงปรากฏแววตาพึงพอใจจางๆ พร้อมกับเอ่ยพึมพำ
เวลานี้หลิ่วหมิงกลับกวาดสายตามองแก่นจันทน์สีแดงก่ำสองแท่งนั้นอีกหน…
แก่นจันทน์นี่ดูแล้วไม่สะดุดตา ภายนอกเหมือนธูปเทียนธรรมดาที่คนปกติทั่วไปใช้เซ่นไหว้ ไม่มีจุดที่ผิดปกติเรียกสายตา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ในดวงตาก็อดไม่ได้ฉายแววประหลาดใจจางๆ
“สหายหลิ่วอาจไม่ทราบหอมทากหยกเหล่านี้ใช้แก่นปีศาจของทากหยกเพศผู้หลอมขึ้นมา กลิ่นหอมของมันเป็นสิ่งที่อสูรกวางชะมดว่างเปล่าชอบที่สุด” ผู้อาวุโสหวงคล้ายมองความสงสัยในดวงตาของหลิ่วหมิงออกจึงอธิบายประโยคหนึ่งทันที
“ทากหยก”
หลิ่วหมิงได้ยิน ในใจก็สะท้านเล็กน้อย
ทากหยกนี่คือปีศาจอสูรที่มีพิษรุนแรงซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนทะเลทรายทางตะวันตกสุดของแผ่นดินจงเทียน นิสัยดุร้ายอย่างที่สุด พลังโดยทั่วไปอาจไปถึงระดับผลึกขั้นปลาย ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไปก็ไม่ยินดีไปหาเรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอันตรายถึงชีวิตอสูรตัวนี้จะระเบิดแก่นปีศาจของตนเองอย่างไม่ลังเลสักนิด หมอกพิษที่ปล่อยออกมาหากแตะถูกจะตายในทันทีจึงจัดการยากอย่างยิ่ง
แก่นปีศาจของมันเป็นวัตถุดิบหลักในการหลอมหอมทากหยกจริง! แต่สิ่งที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดคือหอมทากหยกนี่ไม่ได้มีแต่กวางชะมดว่างเปล่าที่ชื่นชอบ ปีศาจอสูรอื่นก็ถูกกลิ่นของมันดึงดูดได้เช่นกัน ดังนั้นหอมทากหยกจึงเป็นสิ่งล้ำค่าของนิกายรวมถึงตระกูลมากมาย อยู่ข้างนอกพบเห็นยากนัก
“ที่แท้ก็เป็นเครื่องหอมชนิดนี้ มิน่าทั้งสองท่านจึงมั่นใจเช่นนี้ ดูท่านิกายของท่านจะทุ่มเทไม่น้อยเพื่อปีศาจอสูรตัวนี้จริงๆ! ทว่ากำใหญ่เช่นนี้เกรงว่าคงมีไม่น้อยกว่าสิบกว่าชิ้นกระมัง จะมากเกินไปหน่อยจนกลับกลายเป็นเตือนอสูรตัวนี้หรือไม่?” หลังหลิ่วหมิงพยักหน้าก็เอ่ยถามช้าๆ อีกประโยคหนึ่ง
“ฮ่ะๆ สหายคิดมากเกินไปแล้ว! เครื่องหอมนี่ยิ่งมาก ยิ่งดึงดูดปีศาจอสูรมาก อสูรแห่งความว่างเปล่าโดยทั่วไปเจ้าเล่ห์จัดการยากอย่างที่สุด ต้องมีเครื่องหอมนี้มากพอถึงแน่ใจว่าจะดึงมันออกมาได้ไม่มีพลาด” ผู้เฒ่าอ้วนโบกมือพลางหัวเราะเสียงเบาเอ่ยขึ้น
“ท่านไม่เชื่อวิธีการของข้าหรือ?” เฟิงชิงโม่ได้ยินกลับหน้าบึ้ง
“ใช่ที่ไหน ในเมื่อพี่หวงเอ่ยเช่นนี้ ข้าย่อมไม่มีความเห็นอื่น” หลิ่วหมิงกลับหัวเราะฮ่ะๆ มุมปากแย้มรอยยิ้มนิดหนึ่งเอ่ยตอบ
“นายน้อย หลังจากนี้ข้าจะตั้งสมาธิควบคุมค่ายกล ส่วนท่านต้องกระตุ้นยันต์วายุสะบั้นเหล่านั้นล้อมโจมตีอสูรตัวนี้ ทว่าอสูรตัวนี้อย่างไรร่างกายก็เป็นธาตุว่างเปล่า วิชาหลบหนีประหลาดยากเข้าใจ ถึงเวลาต้องใช้กระบี่บินธาตุว่างเปล่าของสหายหลิ่วถึงจะสังหารมันได้ แต่ยามสหายลงมือจะต้องเล็งจังหวะให้แม่นยำหนึ่งการโจมตีสังหารมันเสีย!” ผู้อาวุโสหวงเอ่ยเช่นนี้อีก
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีความเห็นอื่น ท่ามกลางสายตาเย็นชาของผู้ฝึกฝนชุดขาว เขาลงไปนั่งขัดสมาธิบนพื้นกลางพงไม้ดงใหญ่ที่ค่อนข้างมิดชิดแห่งหนึ่งทันที นั่งสมาธิอยู่เงียบๆ
ส่วนเฟิงชิงโม่ร่างกายขยับวูบหนึ่งก็ออกจากค่ายกล เขายกมือขึ้นอีกครั้ง นิ้วหนึ่งจิ้มอากาศไปทางที่แก่นจันทน์อยู่ต่อเนื่องหลายครั้ง แสงสีแดงหลายสายพุ่งเฉียดผ่านพวกมัน
แก่นจันทน์สีแดงก่ำสิบกว่าแท่งฉับพลันส่องแสงสีแดง พริบตาเดียวก็ถูกจุด ควันสีแดงหม่นสายแล้วสายเล่าลอยวนเวียนขึ้นบนอากาศจากนั้นลอยอ้อยอิ่งไปด้านหน้าตามการชักนำของเคล็ดวิชาของเฟิงชิงโม่
ไม่นานบริเวณที่ค่ายกลทั้งหมดอยู่ก็ถูกหมอกสีแดงหม่นสายนี้ห้อมล้อมไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา