ทว่าเมื่ออุณหภูมิสูงของเปลวเพลิงสีแดงฉานทำให้อากาศรอบตัวเขาพร่ามัวไปวูบหนึ่ง เงาหมัดทั้งหมดก็กลายเป็นไอหมอกสายแล้วสายเล่าสลายไปอีกหน ไม่อาจแตะต้องตาข่ายอัคคีได้แม้แต่น้อย
“หลิ่วหมิง ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในงานประตูสวรรค์ วันนี้ได้พบก็สมคำร่ำลือจริงๆ ไม่ว่ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณหรือวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬล้วนกล่าวได้ว่ายอดเยี่ยม พลังแค่ระดับผลึกขั้นปลายก็สังหารปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ได้อย่างง่ายดาย ทว่าแม้เจ้าจะมีความสามารถยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้ตกอยู่ในมือข้าเฟิงชิงโม่ก็มีแต่ตายสถานเดียว” เฟิงชิงโม่เวลานี้เก็บท่าทางอวดดีแต่เดิมไปแล้ว เขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยัน มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา รอบร่างปราณดำพลุ่งพล่านโถมออกมา แต่ขณะที่มังกรหมอกมหึมาหลายตัวเพิ่งก่อตัวขึ้นบนแผ่นหลังพร้อมกับเสียงมังกรคำราม ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที ร่างกายโซเซวูบหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ
เสียง “ปัง” ดังขึ้นหลายหน มังกรหมอกทั้งหมดเลือนรางแล้วระเบิดหายไปเอง
“ฮ่ะๆ สหายหลิ่วเหตุใดสภาพเป็นเช่นนี้เล่า คงไม่ใช่สัมผัสได้ว่าพลังเวทในร่างยามนี้พร่องไปอยู่บ้างหรอกนะ” ผู้เฒ่าอ้วนเห็นหลิ่วหมิงมีสภาพเช่นนี้กลับยิ้มตาหยีเอ่ยถามต่อ
“เป็นไปไม่ได้ ข้าต้องพิษ พวกเจ้าเล่นตุกติกกับข้าตั้งแต่เมื่อไร ข้าระวังพวกเจ้าอย่างยิ่งมาตลอด” หลังร่างกายโงนเงนสองสามทีหลิ่วหมิงก็ฝืนยืนมั่นคงได้อีกครั้ง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ตวาดถาม
ตัวเขาในเวลานี้หน้าซีดกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ปราณดำที่พุ่งออกมารอบร่างพริบตาเดียวก็เบาบางลงไปกว่าครึ่ง
พร้อมกับที่เขาตวาดถาม มือข้างหนึ่งก็ตบลงบนหน้าอก แสงสีทองชั้นหนึ่งลอยออกมาจากร่างปกป้องเขาไว้ด้านในทันที
“คิดจะป้องกันพิษนี่ตอนนี้ก็สายไปแล้ว ช่างเถิด ข้าจะให้เจ้าตายอย่างกระจ่างก็แล้วกัน! กลิ่นอายที่พัดขนนกสีขาวในมือข้าปล่อยออกมาปกติใช้ล่อลวงปีศาจอสูรเท่านั้น ไม่มีพิษแต่อย่างใด ทว่ากลิ่นหอมนี้เมื่อผสมกับกลิ่นอายไร้ลักษณ์อีกชนิดหนึ่งที่แผ่ออกมาจากเนื้อของอสูรแห่งความว่างเปล่าก่อนหน้านี้ก็จะกลายเป็นกลิ่นหอมพิเศษชนิดหนึ่ง ไม่เพียงไร้กลิ่นไร้รส ยังค่อยๆ ทำให้อวัยวะรับสัมผัสของผู้ต้องพิษอ่อนแอลงและกัดกร่อนพลังเวทของผู้ต้องพิษอย่างรวดเร็วด้วย ทำให้ในสภาวะปกติไม่อาจสังเกตได้อย่างสิ้นเชิง ยามที่เจ้ากลับมาถึงที่นี่เป็นครั้งที่สองเจ้าก็ต้องพิษประหลาดอันเป็นเอกลักษณ์ของข้าแล้วแต่ไม่รู้ก็เท่านั้น” เฟิงชิงโม่มองหลิ่วหมิงที่ปราณอ่อนแรงลงทุกทีอยู่กลางแสงสีทอง ท้ายที่สุดก็หัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น อธิบายออกมาหมดสิ้น
หลิ่วหมิงคล้ายไม่ยอมเชื่อว่าสิ่งที่ผู้ฝึกฝนชุดขาวคนนี้เอ่ยออกมาเป็นความจริง เพิ่งฟังคำพูดของเขาจบก็คำรามโกรธเกรี้ยว ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งสร้างร่างเงาที่เหมือนกันทุกประการออกมาสามร่าง แต่ละร่างแผ่ปราณดำพลุ่งพล่านโถมเข้าใส่ตาข่ายอัคคีพร้อมกัน
ร่างเงาสามร่างยังไม่ทันเข้าใกล้ตาข่ายอัคคีก็ซัดการโจมตีจากวิชาลับนานาชนิดอย่างมีดสายลม ลูกบอลเพลิงไปจนถึงลิ่มน้ำแข็งมากมายออกมาเต็มฟ้า
“สหายหลิ่วดิ้นรนเช่นนี้มีแต่จะเสียปราณไปเปล่าๆ เท่านั้น!” หลังผู้เฒ่าอ้วนพึมพำประโยคหนึ่ง เคล็ดวิชาในมือก็เปลี่ยนทันที
“วิ้ง” ตาข่ายอัคคีส่องแสงสว่างจ้า บนผิวฉับพลันมียันต์แวววาวตัวแล้วตัวเล่าลอยออกมา เมื่อวิชาทั้งหมดโจมตีลงบนยันต์เหล่านี้ปุบก็เปล่งแสงวูบหนึ่งแล้วสลายหายไปทั้งหมด
หลิ่วหมิงผู้ใช้วิชาอันดุดันรุนแรงเช่นนี้โจมตีออกมาราวกับได้ผลาญพลังเวทสายสุดท้ายในร่างไปแล้ว ร่างเงาอีกสองร่างที่เหลือสลายหายวับไปจนสิ้น เหลือเพียงร่างสุดท้ายทรุดนั่งลงขัดสมาธิกับพื้นดัง “ตึก” แต่ยังคงมองพวกผู้อาวุโสหวงแล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“ข้าถามตนเองดู ข้าไม่เคยมีความแค้นกับทั้งสองท่าน เหตุใดต้องลอบคิดร้ายทำร้ายข้าเช่นนี้?”
“เหอะ ผู้แซ่หวงไม่มีแค้นเคืองกับเจ้า จะโทษก็โทษที่เจ้าล่วงเกินนิกายปีศาจลี้ลับจนพวกเขาออกคำสั่งปีศาจลี้ลับเถอะ” ผู้เฒ่าอ้วนเห็นหลิ่วหมิงยังคงนิ่งสงบเช่นนี้ ดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจ ปากเอ่ยขึ้นช้าๆ
“คำสั่งปีศาจลี้ลับ?” ในดวงตาของหลิ่วหมิงเหมือนจะปรากฏแววตาประหลาดใจจางๆ
“หึๆ เจ้าอาจไม่รู้ นิกายปีศาจลี้ลับกับนิกายหยกทองของเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาช้านาน ในหมู่ศิษย์ของนิกายปีศาจลี้ลับทุกคนล้วนรู้จักชื่อเสียงของเจ้า! ปรมาจารย์อู๋กวงแห่งนิกายปีศาจลี้ลับได้ออกคำสั่งปีศาจลี้ลับไปทั้งในและนอกนิกาย กล่าวว่าจะมอบสมบัติเวทที่แท้จริงชิ้นหนึ่งแลกกับชีวิตของเจ้าเพื่อแก้แค้นให้หลานชายของเขา! วันนี้เจ้ามาหาเองถึงประตูย่อมไม่อาจโทษพวกเราสองคนใจดำอำมหิตได้” เฟิงชิงโม่หัวเราะหยันพักหนึ่งก็เล่าสาเหตุออกมาหมดสิ้น
“เหอะ คิดไม่ถึงว่านิกายหยกทองที่มีชื่อเสียงไม่น้อยกลับเป็นบริวารของนิกายปีศาจลี้ลับ เรื่องนี้ผู้แซ่หลิ่วคิดไม่ถึงจริงๆ มิเช่นนั้นข้าคงระวังมากกว่านี้ ไม่มีทางให้พวกเจ้าลงมือสำเร็จง่ายดายเช่นนี้” หลิ่วหมิงที่อยู่ในตาข่ายเพลิงฟังทุกสิ่งนี้จบก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วหลับตาทั้งสองข้างลงทันทีไม่เอ่ยวาจาต่อ…
เฟิงชิงโม่เห็นเช่นนี้ก็หัวเราะลั่น พัดขนนกสีขาวในมือสะบัดจะก้าวเข้าไปลงมือเอง แต่ถูกผู้เฒ่าอ้วนยกมือขวางไว้
“ผู้อาวุโสหวง นี่ท่านทำอะไร? เจ้าหนูคนนี้ตอนนี้ถูกขังอยู่ในเพลิงมายาไร้ลักษณ์ของพวกเราสองคน ต่อให้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่ง จะกลายเป็นขี้เถ้าเมื่อไรก็รอแค่เวลา ข้าลงมือก็เพียงประหยัดเวลาขึ้นหน่อยเท่านั้น!” เฟิงชิงโม่ไม่พอใจอยู่บ้าง
“นายน้อยไม่ต้องเข้าไป ให้ข้าใช้พลังปราณเพิ่มสักหน่อยอาศัยพลังของค่ายกลทำให้เขากายจิตดับสูญเสียดีกว่า อย่างไรพลังของเขาก็ไม่อ่อนแอ ไม่แน่อาจยังมีลูกเล่นก้นหีบอยู่อีก หากบุ่มบ่ามไป เกิดเจ้าหนูคนนี้ใช้กระบวนท่าตายพร้อมกันสักอย่างออกมา นั่นจะได้ไม่คุ้มเสียแล้ว” ผู้เฒ่าอ้วนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางส่งกระแสจิตบอก
ไม่รู้เพราะเหตุใด แม้หลิ่วหมิงจะถูกขังอยู่ในตาข่ายเพลิงดูคล้ายไร้กำลังต่อต้าน แต่ผู้เฒ่าอ้วนกลับรู้สึกไม่วางใจอย่างรุนแรง เพียงแต่ไม่ทราบว่าความรู้สึกเช่นนี้มาจากที่ใด
“ในเมื่อผู้อาวุโสหวงรอบคอบเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ดูฝีมือของผู้อาวุโสแล้ว” เฟิงชิงโม่ฟังแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นมองหลิ่วหมิงที่นั่งหลังตรงไม่ขยับอยู่กลางตาข่ายเพลิง หลังครุ่นคิดเล็กน้อยก็ยิ้มเอ่ยขึ้นทันที
“นายน้อยโปรดวางใจ คอยดูข้า” หลังผู้เฒ่าอ้วนหัวเราะหึๆ มือข้างหนึ่งก็พลิกหมุน ในมือพลันมีธงน้อยสีแดงฉานผืนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ดูเหมือนยาวไม่กี่ชุ่น ทว่าเมื่อมันแกว่งเบาๆ โต้ลมก็ขยายจนใหญ่เจ็ดแปดฉื่อ ต่อจากนั้นปากของเขาก็ท่องมนตร์ กรอกพลังเวทในร่างเข้าไปในธงอย่างบ้าคลั่งจากนั้นชี้ไปทางตาข่ายอัคคี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา