ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 850

สรุปบท ตอนที่ 850 เทือกเขาหยกฝัน: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 850 เทือกเขาหยกฝัน – ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บท ตอนที่ 850 เทือกเขาหยกฝัน ของ ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 850 เทือกเขาหยกฝัน
ค่ายกลตรงจุดนี้เสียหายอย่างมากตอนหัวปีศาจแม่ทัพทำลายผนึกออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสาผนึกแปดต้นที่ฝังอยู่ลึกใต้ดินแทบจะหักเป็นสองท่อน

แม้เป็นเช่นนี้ค่ายกลที่เหลืออยู่ผนวกกับภูมิประเทศรอบด้านก็ยังคงส่งผลบางประการทำให้ดึงดูดหมอกภูตรอบด้านเข้ามา

เขาสำรวจอย่างละเอียดจึงพบว่าเสาศิลาสีเขียวใจกลางค่ายกลผนึกนี่เหมือนจะมีพลังเรียกวิญญาณภูตผี ส่วนเสาศิลาสีแดงเจ็ดต้นรอบนอกถึงจะเป็นสิ่งที่ใช้ผนึกจริงๆ

บางทีผ่านไปอีกร้อยกว่าปี บนเขาสันเขียวที่ปราณหยินรายล้อมแห่งนี้อาจมีภูตผีถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง แต่ภูตผีที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านั้นคงหลุดออกไปไม่ได้ง่ายนัก ในเวลาสั้นๆ คงไม่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ธรรมดาในเขตนี้

นี่ทำให้หลิ่วหมิงนับถือการจัดการอันยอดเยี่ยมของผู้ฝึกตนแซ่เยี่ยในสมัยนั้นอย่างแท้จริง

“เอ๋!”

ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย ร่างกายขยับวูบหนึ่งเหาะเข้าไปในหมอกภูต

ชั่วครู่ให้หลังเขาก็ยืนอยู่ที่ขอบถ้ำดำมืดแห่งหนึ่ง

เมื่อมองลึกเข้าไปในถ้ำ ความมืดแผ่ขยายเข้าไปราวกับลึกไม่เห็นก้น

ถ้ำแห่งนี้ก็คือสถานที่ผนึกหัวปีศาจแม่ทัพตนนั้น จนตอนนี้มันก็ยังมีหมอกภูตสีเทาสายแล้วสายเล่าล่องลอยออกมาจากด้านใน

หลิ่วหมิงมองด้านในถ้ำพักหนึ่งก็หลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นร่างกายเขาก็ขยับไหว ทะยานร่างลึกเข้าไปในถ้ำ

ในถ้ำมืดสนิทไปหมด กระแสลมเย็นโชยพัดเป็นพักๆ เย็นเยียบเสียดกระดูก เขาเหาะลดเลี้ยวไปราวหนึ่งก้านธูปก็มาถึงถ้ำใหญ่ขนาดหนึ่งหมู่กว่าแห่งหนึ่ง

ลึกเข้าไปในถ้ำยังคงมืดสนิท แต่บนพื้นกลับเป็นทรายสีดำที่มีโครงกระดูกสีขาวโผล่อยู่เลือนราง ส่วนตรงกลางคือเสาศิลาหักพังอนาถแปดต้นนั้น

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เพ่งสายตามองสำรวจเม็ดทรายสีดำใสแวววาวเหล่านี้อย่างละเอียด พวกมันเหมือนมีปราณดำไหลเวียนช้าๆ อยู่ด้านใน

“นี่คือทรายหยินแดง เกิดขึ้นในสถานที่ซึ่งมีปราณหยินเท่านั้น!” หลิ่วหมิงเอ่ยพึมพำกับตนเอง ขณะที่ตั้งจิตแผ่จิตสัมผัสไปด้านหน้า

“เป็นเช่นนี้จริงๆ!”

ห่างไปร้อยกว่าจั้งด้านหน้ายังมีถ้ำศิลาอีกถ้ำหนึ่ง ในถ้ำยังคงเป็นพื้นทรายสีดำที่มีกระดูกสีขาวแทรกอยู่ เสาผนึกแปดต้นสีแดงเจ็ดสีเขียวหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่นสมบูรณ์ไม่เสียหาย

หลิ่วหมิงเพ่งจิต แผ่จิตสัมผัสขยายไปเบื้องหน้าต่อ ทันใดนั้นบนเสาผนึกแปดต้นก็ปรากฏชั้นจำกัดล่องหนชั้นหนึ่งออกมาขวางจิตสัมผัสของหลิ่วหมิง

ในเวลาเดียวกันนี้ปราณแค้นลึกล้ำสายแล้วสายเล่าก็ทะลุผ่านชั้นจำกัดนี่ส่งมาถึงในจิตของหลิ่วหมิง

ดูท่าอีกฝั่งคงเป็นสุสานหมื่นศพอีกแห่งหนึ่ง แต่ในนั้นไม่มีภูตผีที่แข็งแกร่งอย่างหัวปีศาจแม่ทัพดังนั้นผนึกจึงยังสมบูรณ์ดี

หลิ่วหมิงดึงพลังจิตสัมผัสกลับมา สีหน้าบนใบหน้าคล้ายชื่นชมแต่ก็คล้ายทอดถอนใจ

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือเดียว ร่างกายลอยขึ้นแล้วเหาะไปนอกถ้ำ

หนึ่งเค่อให้หลังเขาก็ยืนอยู่ใกล้ๆ บึงลึกแห่งหนึ่งด้านหลังเขาสันเขียว ก้นบึงมีเสาหยกสีแดงแปดต้นตั้งตระหง่านอยู่เช่นเดียวกัน

ครึ่งชั่วยามให้หลังหลิ่วหมิงก็ค้นหาเสาผนึกจุดที่สี่พบในป่าลึกแห่งหนึ่งทางฝั่งขวาของเทือกเขาสันเขียว

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ในเทือกเขาสันเขียวแห่งนี้มีสุสานหมื่นศพที่ให้กำเนิดผีร้ายทั้งหมดสี่แห่ง พวกมันล้วนถูกผู้ฝึกฝนแซ่เยี่ยผู้นั้นวางค่ายกลผนึกไว้ทุกแห่ง โชคดีที่มีเพียงแห่งเดียวถูกทลายออกมา หากผนึกทั้งสี่ทลายทั้งหมด วิญญาณร้ายที่หลุดออกมาคงทำให้ทั้งเขตตงเยว่พบภัยพิบัติ” หลิ่วหมิงมองภาพเบื้องหน้าแล้วเอ่ยพึมพำกับตนเอง

แม้ใช้จิตสัมผัสสำรวจเพียงคร่าวๆ แต่เขายังคงสัมผัสได้ชัดเจนว่าปราณชั่วร้ายในสุสานหมื่นศพสามแห่งที่เหลือหนักหน่วงอย่างที่สุดเช่นกัน จำนวนวิญญาณร้ายคงมีนับหมื่น

แต่ยังดีที่ผนึกอีกสามแห่งล้วนไม่เป็นไร ทั้งด้านในก็ไม่มีภูตผีระดับแก่นแท้ถือกำเนิดขึ้นมา หลิ่วหมิงย่อมไม่ก่อเรื่องเพิ่มไปทำลายผนึกเข้า

หลิ่วหมิงลอบถอนหายใจ พร้อมกันนั้นในใจก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่เลือนรางอย่างไม่ทราบสาเหตุ คล้ายกับว่าพลาดอะไรบางอย่างไป

ในเวลานี้เองเมฆดำก้อนหนึ่งก็ลอยเร็วรี่มาแต่ไกลแล้วร่อนลงข้างกายหลิ่วหมิง เมื่อเมฆดำสลายไปก็เผยร่างของแมงป่องกระดูกออกมา

“นายท่าน” เซียเอ๋อร์ยืนอยู่หลังร่าง ในมือนางอุ้มเด็กชายที่ยังหลับใหลผู้นั้นไว้

สายตาหลิ่วหมิงกวาดบนร่างเด็กชายทีหนึ่ง เมื่อเห็นว่าตอนนี้ลมหายใจของเด็กชายผู้นี้สงบลงแล้ว ก็คิดว่าคงเบิกเนตรจิตวิญญาณจนเสียพลังวิญญาณมากเกินไปเท่านั้น น่าจะนอนหลับอีกหลายวันถึงจะตื่น

“จัดการธุระที่นี่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไปจากที่นี่เถอะ” หลิ่วหมิงพูดพลางกวาดตามองเขาสันเขียวอีกครั้ง

หลังจากนั้นลำแสงสีแดงฉานเส้นหนึ่งก็พุ่งเร็วรี่ขึ้นมาจากใต้ยอดเขาหลักของเขาสันเขียวแหวกท้องฟ้ามุ่งไปไกลอย่างรวดเร็วยิ่ง เวลาไม่กี่ลมหายใจก็หายไปบนท้องนภา

……

แคว้นเฉินมีอาณาเขตแคบยาว มองลงมาจากบนท้องฟ้ารูปร่างคล้ายมังกรมหึมาตัวหนึ่งดังนั้นจึงได้ชื่อนี้มา บนแผ่นดินจงเทียนนับไม่ได้ว่าเป็นแคว้นใหญ่อันใด แต่ทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ ประชากรมาก กำลังของแคว้นจึงไม่อ่อนแอ

ในแคว้นเฉินมีเขาสูงชันมากมาย ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินเปี่ยมล้น หลายหมื่นปีที่ผ่านมาจึงดึงดูดให้นิกายและตระกูลต่างๆ มาตั้งรกรากในเขตแคว้นไม่น้อย

หนึ่งในนั้นก็คือตระกูลโอวหยาง ตระกูลที่โด่งดังที่สุดจนถูกจัดเข้าไปเป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ของแผ่นดินจงเทียน

เทือกเขาหยกฝันที่ตั้งตระกูลโอวหยางคือขุนเขาอันดับหนึ่งของแคว้นเฉิน มันแทบจะพาดผ่านทั้งแคว้นดังนั้นจึงถูกเรียกว่า ‘สันหลังมังกร’ แล้วมันยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ภูเขาจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินจงเทียนอีกด้วย

เวลานี้เป็นยามเช้าตรู่ ทอดสายตามองไปเห็นยอดเขามหึมาสูงนับพันจั้งลูกแล้วลูกเล่าปรากฏขึ้นใกล้ไกล หมอกเซียนแผ่คลุมหมื่นลี้ ไอเมฆลอยวนเวียน นกกระเรียนกระพือปีกบินร่อนประหนึ่งแดนเซียนบนโลกมนุษย์

รอบยอดเขาเหล่านี้มีบ้านเรือนน้อยใหญ่ วิหารหอตำหนักนับไม่ถ้วน มองเห็นลำแสงหลากหลายสีเหาะพุ่งผ่านระหว่างยอดเขาอยู่เป็นระยะ ช่างเป็นภาพแห่งความรุ่งเรือง

บนยอดเขาแห่งหนึ่งบริเวณขอบนอกของเขาหยกฝัน หออันประณีตแถวหนึ่งสร้างขึ้นตามแนวเขา บนหอแขวนป้ายสีทองผืนหนึ่ง ด้านบนเขียนอักษรสีทองอ่อนตัวโตไว้ว่า ‘หอต้อนรับแขก’

แม้ที่นี่เป็นห้องพักแขกเพียงห้องเดียว แต่ด้านในด้านนอกก็แยกเป็นสามส่วน ห้องโถง ห้องนอน ห้องนั่งสมาธิ จัดแบ่งเป็นชั้นชัดเจน

“ท่านหลิ่ว”

เวลานี้เด็กชายตระกูลเยี่ยนั่งเรียบร้อยอยู่ในห้องโถง เมื่อเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นยืนคำนับอย่างนอบน้อมทันที เสียงแหบอยู่บ้างเล็กน้อย

หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเดินมานั่งบนเก้าอี้ในห้องโถง

เด็กชายคนนี้คือเด็กกำพร้าที่เหลือรอดจากหมู่บ้านตระกูลเยี่ย ยามนั้นเขาไม่ได้ขบคิดมากมายจึงพามาด้วย แต่หลังจากนี้จะจัดการกับเขาอย่างไรกลับไม่ง่ายนัก

“เยี่ยเฮ่า มานั่งเถอะ” หลิ่วหมิงชี้เก้าอี้ด้านข้าง

เด็กชายได้ยินก็นั่งลงอย่างเชื่อฟังยิ่งนัก

“เรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านของพวกเจ้า หลายวันนี้ข้าก็เล่าให้เจ้าฟังไม่น้อยแล้ว ข้าอยากถามเจ้าว่าหลังจากนี้เจ้าวางแผนไว้อย่างไร” หลิ่วหมิงครุ่นคิดถ้อยคำแล้วพยายามพูดให้เข้าใจง่าย

“เฮ่าเอ๋อร์ยินดีเชื่อฟังทุกสิ่งที่ท่านจัดการ!”

เด็กชายได้ยินหลิ่วหมิงเอ่ยถึงหมู่บ้าน สีหน้าพลันหม่นหมองก้มหน้าลงไปอีกครั้ง

“ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ดี! ตอนนี้ข้าจะให้ทางเลือกเจ้าสองทาง ทางแรกข้าจะพาเจ้ากลับไปหาอาจารย์ของข้า ช่วยให้เจ้าก้าวเข้าสู่เส้นทางการฝึกฝน แต่ข้าขอบอกเจ้าให้ชัดเจนเสียก่อนว่าหนทางเส้นนี้ไม่ง่าย แม้จะนำพลังระดับหนึ่งและอายุขัยที่ค่อนข้างยาวนานมาให้เจ้า แต่ในเวลาเดียวกันก็มาพร้อมอันตรายนับไม่ถ้วน อาจทำให้เจ้าจบชีวิตได้ตลอดเวลา” หลิ่วหมิงพยักหน้าพลางเอ่ยเล่า

เด็กชายฟังแล้วก็เงยศีรษะขึ้นมาทันที

“ส่วนทางที่สองคือข้าจะส่งเจ้าไปยังหมู่บ้านมนุษย์ธรรมดาสักแห่งที่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านของพวกเจ้า ข้าจะจัดการชีวิตหลังจากนี้ของเจ้าอย่างดีไม่ให้เจ้าลำบาก เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขที่นั่นได้”

หลังหลิ่วหมิงเอ่ยสิ่งเหล่านี้จบก็มองเยี่ยเฮ่าอย่างนิ่งสงบ คล้ายรอคอยคำตอบ

เยี่ยเฮ่าอ้าปากหวอ คล้ายพยายามย่อยคำพูดที่หลิ่วหมิงพูดอยู่

หลิ่วหมิงก็ไม่รีบร้อน เขารินชาจิตวิญญาณถ้วยหนึ่ง ดื่มไปพลางรอคอยไปพลาง

เยี่ยเฮ่าสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ผ่านไปเนิ่นนานในที่สุดสายตาก็แน่วแน่

“ท่านหลิ่ว ข้าคิดดีแล้ว ข้าอยากฝึกฝนกับท่าน!”

“นี่เป็นทางเลือกที่เกี่ยวพันกับทั้งชีวิตของเจ้า ไม่ต้องให้คำตอบกับข้าทันทีก็ได้ ข้ายังต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน เจ้าครุ่นคิดเพิ่มสักหน่อยได้” หลิ่วหมิงขยับคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นนิ่งๆ

“ไม่จำเป็น ข้าขบคิดกระจ่างยิ่งนักแล้ว ข้าต้องการกลายเป็นคนเช่นท่านกับบรรพบุรุษ! ยามท่านปู่มีชีวิตเคยบอกข้า เขาบอกว่าข้า…ข้าจะเป็นความหวังของตระกูลเยี่ย!” พูดถึง ‘ความหวัง’ สองคำนี้ บนใบหน้าเล็กๆ ของเยี่ยเฮ่าก็เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา