แม้เป็นเช่นนี้ค่ายกลที่เหลืออยู่ผนวกกับภูมิประเทศรอบด้านก็ยังคงส่งผลบางประการทำให้ดึงดูดหมอกภูตรอบด้านเข้ามา
เขาสำรวจอย่างละเอียดจึงพบว่าเสาศิลาสีเขียวใจกลางค่ายกลผนึกนี่เหมือนจะมีพลังเรียกวิญญาณภูตผี ส่วนเสาศิลาสีแดงเจ็ดต้นรอบนอกถึงจะเป็นสิ่งที่ใช้ผนึกจริงๆ
บางทีผ่านไปอีกร้อยกว่าปี บนเขาสันเขียวที่ปราณหยินรายล้อมแห่งนี้อาจมีภูตผีถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง แต่ภูตผีที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านั้นคงหลุดออกไปไม่ได้ง่ายนัก ในเวลาสั้นๆ คงไม่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ธรรมดาในเขตนี้
นี่ทำให้หลิ่วหมิงนับถือการจัดการอันยอดเยี่ยมของผู้ฝึกตนแซ่เยี่ยในสมัยนั้นอย่างแท้จริง
“เอ๋!”
ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย ร่างกายขยับวูบหนึ่งเหาะเข้าไปในหมอกภูต
ชั่วครู่ให้หลังเขาก็ยืนอยู่ที่ขอบถ้ำดำมืดแห่งหนึ่ง
เมื่อมองลึกเข้าไปในถ้ำ ความมืดแผ่ขยายเข้าไปราวกับลึกไม่เห็นก้น
ถ้ำแห่งนี้ก็คือสถานที่ผนึกหัวปีศาจแม่ทัพตนนั้น จนตอนนี้มันก็ยังมีหมอกภูตสีเทาสายแล้วสายเล่าล่องลอยออกมาจากด้านใน
หลิ่วหมิงมองด้านในถ้ำพักหนึ่งก็หลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นร่างกายเขาก็ขยับไหว ทะยานร่างลึกเข้าไปในถ้ำ
ในถ้ำมืดสนิทไปหมด กระแสลมเย็นโชยพัดเป็นพักๆ เย็นเยียบเสียดกระดูก เขาเหาะลดเลี้ยวไปราวหนึ่งก้านธูปก็มาถึงถ้ำใหญ่ขนาดหนึ่งหมู่กว่าแห่งหนึ่ง
ลึกเข้าไปในถ้ำยังคงมืดสนิท แต่บนพื้นกลับเป็นทรายสีดำที่มีโครงกระดูกสีขาวโผล่อยู่เลือนราง ส่วนตรงกลางคือเสาศิลาหักพังอนาถแปดต้นนั้น
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เพ่งสายตามองสำรวจเม็ดทรายสีดำใสแวววาวเหล่านี้อย่างละเอียด พวกมันเหมือนมีปราณดำไหลเวียนช้าๆ อยู่ด้านใน
“นี่คือทรายหยินแดง เกิดขึ้นในสถานที่ซึ่งมีปราณหยินเท่านั้น!” หลิ่วหมิงเอ่ยพึมพำกับตนเอง ขณะที่ตั้งจิตแผ่จิตสัมผัสไปด้านหน้า
“เป็นเช่นนี้จริงๆ!”
ห่างไปร้อยกว่าจั้งด้านหน้ายังมีถ้ำศิลาอีกถ้ำหนึ่ง ในถ้ำยังคงเป็นพื้นทรายสีดำที่มีกระดูกสีขาวแทรกอยู่ เสาผนึกแปดต้นสีแดงเจ็ดสีเขียวหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่นสมบูรณ์ไม่เสียหาย
หลิ่วหมิงเพ่งจิต แผ่จิตสัมผัสขยายไปเบื้องหน้าต่อ ทันใดนั้นบนเสาผนึกแปดต้นก็ปรากฏชั้นจำกัดล่องหนชั้นหนึ่งออกมาขวางจิตสัมผัสของหลิ่วหมิง
ในเวลาเดียวกันนี้ปราณแค้นลึกล้ำสายแล้วสายเล่าก็ทะลุผ่านชั้นจำกัดนี่ส่งมาถึงในจิตของหลิ่วหมิง
ดูท่าอีกฝั่งคงเป็นสุสานหมื่นศพอีกแห่งหนึ่ง แต่ในนั้นไม่มีภูตผีที่แข็งแกร่งอย่างหัวปีศาจแม่ทัพดังนั้นผนึกจึงยังสมบูรณ์ดี
หลิ่วหมิงดึงพลังจิตสัมผัสกลับมา สีหน้าบนใบหน้าคล้ายชื่นชมแต่ก็คล้ายทอดถอนใจ
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือเดียว ร่างกายลอยขึ้นแล้วเหาะไปนอกถ้ำ
หนึ่งเค่อให้หลังเขาก็ยืนอยู่ใกล้ๆ บึงลึกแห่งหนึ่งด้านหลังเขาสันเขียว ก้นบึงมีเสาหยกสีแดงแปดต้นตั้งตระหง่านอยู่เช่นเดียวกัน
ครึ่งชั่วยามให้หลังหลิ่วหมิงก็ค้นหาเสาผนึกจุดที่สี่พบในป่าลึกแห่งหนึ่งทางฝั่งขวาของเทือกเขาสันเขียว
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ในเทือกเขาสันเขียวแห่งนี้มีสุสานหมื่นศพที่ให้กำเนิดผีร้ายทั้งหมดสี่แห่ง พวกมันล้วนถูกผู้ฝึกฝนแซ่เยี่ยผู้นั้นวางค่ายกลผนึกไว้ทุกแห่ง โชคดีที่มีเพียงแห่งเดียวถูกทลายออกมา หากผนึกทั้งสี่ทลายทั้งหมด วิญญาณร้ายที่หลุดออกมาคงทำให้ทั้งเขตตงเยว่พบภัยพิบัติ” หลิ่วหมิงมองภาพเบื้องหน้าแล้วเอ่ยพึมพำกับตนเอง
แม้ใช้จิตสัมผัสสำรวจเพียงคร่าวๆ แต่เขายังคงสัมผัสได้ชัดเจนว่าปราณชั่วร้ายในสุสานหมื่นศพสามแห่งที่เหลือหนักหน่วงอย่างที่สุดเช่นกัน จำนวนวิญญาณร้ายคงมีนับหมื่น
แต่ยังดีที่ผนึกอีกสามแห่งล้วนไม่เป็นไร ทั้งด้านในก็ไม่มีภูตผีระดับแก่นแท้ถือกำเนิดขึ้นมา หลิ่วหมิงย่อมไม่ก่อเรื่องเพิ่มไปทำลายผนึกเข้า
หลิ่วหมิงลอบถอนหายใจ พร้อมกันนั้นในใจก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่เลือนรางอย่างไม่ทราบสาเหตุ คล้ายกับว่าพลาดอะไรบางอย่างไป
ในเวลานี้เองเมฆดำก้อนหนึ่งก็ลอยเร็วรี่มาแต่ไกลแล้วร่อนลงข้างกายหลิ่วหมิง เมื่อเมฆดำสลายไปก็เผยร่างของแมงป่องกระดูกออกมา
“นายท่าน” เซียเอ๋อร์ยืนอยู่หลังร่าง ในมือนางอุ้มเด็กชายที่ยังหลับใหลผู้นั้นไว้
สายตาหลิ่วหมิงกวาดบนร่างเด็กชายทีหนึ่ง เมื่อเห็นว่าตอนนี้ลมหายใจของเด็กชายผู้นี้สงบลงแล้ว ก็คิดว่าคงเบิกเนตรจิตวิญญาณจนเสียพลังวิญญาณมากเกินไปเท่านั้น น่าจะนอนหลับอีกหลายวันถึงจะตื่น
“จัดการธุระที่นี่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไปจากที่นี่เถอะ” หลิ่วหมิงพูดพลางกวาดตามองเขาสันเขียวอีกครั้ง
หลังจากนั้นลำแสงสีแดงฉานเส้นหนึ่งก็พุ่งเร็วรี่ขึ้นมาจากใต้ยอดเขาหลักของเขาสันเขียวแหวกท้องฟ้ามุ่งไปไกลอย่างรวดเร็วยิ่ง เวลาไม่กี่ลมหายใจก็หายไปบนท้องนภา
……
แคว้นเฉินมีอาณาเขตแคบยาว มองลงมาจากบนท้องฟ้ารูปร่างคล้ายมังกรมหึมาตัวหนึ่งดังนั้นจึงได้ชื่อนี้มา บนแผ่นดินจงเทียนนับไม่ได้ว่าเป็นแคว้นใหญ่อันใด แต่ทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ ประชากรมาก กำลังของแคว้นจึงไม่อ่อนแอ
ในแคว้นเฉินมีเขาสูงชันมากมาย ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินเปี่ยมล้น หลายหมื่นปีที่ผ่านมาจึงดึงดูดให้นิกายและตระกูลต่างๆ มาตั้งรกรากในเขตแคว้นไม่น้อย
หนึ่งในนั้นก็คือตระกูลโอวหยาง ตระกูลที่โด่งดังที่สุดจนถูกจัดเข้าไปเป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ของแผ่นดินจงเทียน
เทือกเขาหยกฝันที่ตั้งตระกูลโอวหยางคือขุนเขาอันดับหนึ่งของแคว้นเฉิน มันแทบจะพาดผ่านทั้งแคว้นดังนั้นจึงถูกเรียกว่า ‘สันหลังมังกร’ แล้วมันยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ภูเขาจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินจงเทียนอีกด้วย
เวลานี้เป็นยามเช้าตรู่ ทอดสายตามองไปเห็นยอดเขามหึมาสูงนับพันจั้งลูกแล้วลูกเล่าปรากฏขึ้นใกล้ไกล หมอกเซียนแผ่คลุมหมื่นลี้ ไอเมฆลอยวนเวียน นกกระเรียนกระพือปีกบินร่อนประหนึ่งแดนเซียนบนโลกมนุษย์
รอบยอดเขาเหล่านี้มีบ้านเรือนน้อยใหญ่ วิหารหอตำหนักนับไม่ถ้วน มองเห็นลำแสงหลากหลายสีเหาะพุ่งผ่านระหว่างยอดเขาอยู่เป็นระยะ ช่างเป็นภาพแห่งความรุ่งเรือง
บนยอดเขาแห่งหนึ่งบริเวณขอบนอกของเขาหยกฝัน หออันประณีตแถวหนึ่งสร้างขึ้นตามแนวเขา บนหอแขวนป้ายสีทองผืนหนึ่ง ด้านบนเขียนอักษรสีทองอ่อนตัวโตไว้ว่า ‘หอต้อนรับแขก’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา