อ่านสรุป ตอนที่ 852 พบซาฉู่เอ๋อร์อีกครั้ง จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet
บทที่ ตอนที่ 852 พบซาฉู่เอ๋อร์อีกครั้ง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
สัมผัสเฉียบคมของหลิ่วหมิงรับรู้กลิ่นอายสังหารเจือจางที่ปรากฏขึ้นแวบหนึ่งแล้วหายไปท่ามกลางแรงดึงสายนั้นเมื่อครู่
ขณะที่เขากำลังเพ่งสัมผัสอยู่ พี่น้องโอวหยางก็เดินนำเข้าไปในประตูตำหนักใหญ่ก่อนแล้ว หลิ่วหมิงจึงได้แต่ตามเข้าไป
สองข้างของประตูตำหนักใหญ่แต่ละฝั่งมีผู้คุ้มกันร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ บนร่างสวมชุดเกราะสีม่วง มือหนึ่งถือดาบ มือหนึ่งถือโล่
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งในนั้นเห็นพวกหลิ่วหมิงสามคนเดินมาก็ขวางหน้าทั้งสามคนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ตวาดเสียงดังแต่ไกล
“ตำหนักประชุมเป็นสถานที่สำคัญ ไม่ได้รับอนุญาตห้ามเข้า!”
หลิ่วหมิงกวาดสายตาบนร่างผู้คุ้มกันทั้งสองคนรอบหนึ่ง
ปราณที่แผ่ออกมาจากร่างสองคนนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง เห็นชัดว่าทั้งคู่เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น ดาบด้ามยาวกับโล่ในมือทอแสงจิตวิญญาณแวววาว เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่คุณภาพสูงอย่างที่สุดสองชิ้น
โอวหยางเชี่ยนเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยันทีหนึ่ง พลิกมือเรียกป้ายสีม่วงแผ่นหนึ่งออกมาถือไว้แกว่งไปมาในมือ
สายตาของผุ้คุ้มกันเกราะม่วงจับอยู่บนป้ายในมือโอวหยางเชี่ยน จากนั้นร่างกายจึงค้อมคำนับเล็กน้อย ไม่พูดพร่ำหลีกทางให้
หลิ่วหมิงมองเห็นชัดเจนว่าป้ายในมือโอวหยางเชี่ยนเหมือนกับตราที่อินจิ่วหลิงให้เขาทุกประการ เพียงแต่ป้ายในมือโอวหยางเชี่ยนสลักภาพดวงดาวไว้สามดวงเท่านั้น
โอวหยางเชี่ยนเก็บป้ายไปแล้วมองลึกเข้าไปในตำหนัก นางไม่ได้เดินเข้าไปทันที แต่คิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากถาม
“หัวหน้าตระกูลอยู่ด้านใหรือไม่?”
“หัวหน้าตระกูลกำลังต้อนรับแขกอยู่ด้านใน…” ผู้คุ้มกันเกราะม่วงเอ่ยนิ่งๆ ส่วนสายตาเคลื่อนไปจับอยู่บนร่างหลิ่วหมิง
ตระกูลโอวหยางถือว่าสีม่วงเป็นเกียรติ นับแต่เข้ามาในเขาหยกฝันจนถึงตอนนี้ คนตระกูลโอวหยางทั้งหมดที่หลิ่วหมิงพบล้วนแต่งชุดสีม่วง เขาที่สวมชุดสีน้ำเงินทั้งตัวย่อมสะดุดตาอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องแล้ว พวกเราไปรอที่โถงข้างด้านในก็แล้วกัน” โอวหยางเชี่ยนได้ยินก็ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
พูดจบนางก็ยกเท้าเดินเข้าไปในตำหนักก่อน โอวหยางฉินตามติดเข้าไป ส่วนหลิ่วหมิงเดินอยู่ด้านหลังสุด
ผู้คุ้มกันเกราะม่วงมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง ในดวงตาฉายแววสงสัยจางๆ แต่ไม่ได้ก้าวเข้าไปขวางอย่างใด
ด้านในตำหนักคือทางเดินยาวเส้นหนึ่งที่ไม่ได้ตกแต่งมากนัก ทุกสองสามจั้งสองฝั่งของทางเดินยาวมีเสาศิลาแกะสลักต้นหนึ่งตั้งอยู่ บนเสาแกะสลักสัตว์วิเศษเช่นมังกร พยัคฆ์ กระเรียนเป็นต้น แผ่บรรยากาศเคร่งขรึมสายหนึ่งออกมา
ตลอดทางไม่มีคำใดถูกเอ่ยออกมา เสียงฝีเท้าของทั้งสามคนสะท้อนก้องบนทางเดินว่างเปล่า
ชั่วครู่ให้หลังหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าฉับพลันขยายกว้าง ห้องโถงโล่งแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทั้งสามคน
ฝั่งตรงข้ามของห้องโถงคือทางเข้าห้องโถงหลักกว้างขวางซึ่งสูงสองจั้งกว่า ด้านข้างยังมีห้องโถงข้างอีกแห่งหนึ่ง ยืนมองจากมุมของทั้งสาม ประตูของห้องโถงใหญ่กำลังปิดสนิท มองไม่เห็นสภาพด้านใน เพียงได้ยินอยู่เลือนรางว่าด้านในมีคนพูดคุยกัน
“พี่หลิ่ว หัวหน้าตระกูลกำลังต้อนรับแขกอยู่ด้านใน พวกเรารอสักครู่ค่อยเข้าไปหาเถิด” โอวหยางเชี่ยนมองประตูห้องโถงทีหนึ่งแล้วพาโอวหยางฉินเดินไปทางห้องโถงข้างที่อยู่ด้านข้าง
หลิ่วหมิงย่อมพยักหน้าอย่างเลือกไม่ได้แล้วก้าวเท้าตามไปด้วยเช่นกัน
เพิ่งก้าวไปได้สองก้าวในห้องโถงหลักก็พลันมีเสียงเอะอะร้อนรนดังออกมา จากนั้นเสียง “บึ๊ม” ก็ดังขึ้นหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่สองบานผลักเปิดไปสองฝั่ง
พวกโอวหยางเชี่ยนสามคนมองตากันทีหนึ่งแล้วหยุดก้าวเท้าทันที พวกเขาเหลียวหลังกลับไปมองอย่างสงสัยใคร่รู้
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง
เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งคล้ายถูกสายลมแรงสายหนึ่งซัดจนพุ่งถอยออกมา แต่หลังร่างกายพลิ้วทีหนึ่งก็ร่อนลงนอกประตูอย่างมั่นคง
นางเป็นหญิงสาวผู้สวมกระโปรงสีขาวหิมะผู้หนึ่ง!
เรือนร่างนางอรชร สองแขนสีกลีบบัวเผยอยู่นอกเสื้อ ใบหน้ามีผ้าตาข่ายสีขาวผืนหนึ่งปกปิดจึง มองสีหน้าและหน้าตาไม่ชัด แต่ดวงตาดุจดวงดาราคู่นั้นเห็นชัดว่าโกรธเกรี้ยวอยู่หลายส่วน
หลิ่วหมิงเห็นแววตาที่คุ้นเคยนี้ ร่างกายก็สะท้านเล็กน้อยในทันใด
สตรีกระโปรงขาวไม่ใช่ใครอื่น นางก็คือซาฉู่เอ๋อร์สตรีเผ่าทรายที่เคยมีวาสนาพบหน้ากันที่หนานฮวงนั่นเอง
สตรีนางนี้ตั้งร่างได้มั่นคงปุบ เสียงฝีเท้าหนักหน่วงก็ดังออกมาจากในห้องโถงหลัก ทันใดนั้นบุรุษวัยกลางคนชุดม่วงใบหน้าตอบยาวซีดเหลืองเดินออกมา จากนั้นขยับวูบหนึ่งขวางหน้าซาฉู่เอ๋อร์ไว้
โอวหยางเชี่ยนตอบสนองทันที ร่างกายค้อมคำนับทีหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า
“เชี่ยนเอ๋อร์คารวะผู้อาวุโสซิน”
แม้โอวหยางฉินข้างกายนางก็คำนับเช่นเดียวกัน แต่สีหน้าดูฝืนอยู่บ้าง
คิ้วดำเข้มของชายวัยกลางคนชุดม่วงขมวดเล็กน้อย เขามองพี่น้องโอวหยางด้วยแววตาคิดไม่ถึงทีหนึ่ง จากนั้นสายตาก็หยุดอยู่บนร่างหลิ่วหมิงชั่วครู่ ท้ายที่สุดจึงจับอยู่บนร่างหญิงสาวผู้ปิดบังใบหน้าเบื้องหน้าอีกครั้งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา
“แม่นางซา เจ้ากล้ามากพอตัวจริงๆ ไม่เพียงวนเวียนอยู่ที่ตระกูลโอวหยางของข้าไม่ไปไหน วันนี้ยังกล้าลักลอบเข้ามาที่นี่อีก”
ซาฉู่เอ๋อร์กลับไม่มองชายวัยกลางคนชุดม่วงตรงๆ ดวงเนตรดวงดารามองลึกเข้าไปในห้องโถงใหญ่ แล้วตะเบ็งเสียงเอ่ยขึ้น
เบื้องหน้าซาฉู่เอ๋อร์มีเงาคนที่ปราณดำวนล้อมร่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เขาก็คือหลิ่วหมิงที่ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาอยู่นั่นเอง
เขาหน้าซีดเล็กน้อย ทว่าพริบตาเดียวก็ฟื้นคืนสภาพเดิม มืออีกข้างหนึ่งดึงซาฉู่เอ๋อร์ลอยถอยหลังหลายก้าวไปยืนตั้งร่างมั่นคงห่างจากชายวัยกลางคนชุดสีม่วงกว่าสิบจั้ง
“พี่ใหญ่หลิ่ว…” ซาฉู่เอ๋อร์ตกตะลึง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของหลิ่วหมิงชัด ดวงเนตรงามก็ทอประกายทันที
หลิ่วหมิงยิ้มให้ซาฉู่เอ๋อร์เล็กน้อย แต่ในใจกลับลอบถอนหายใจ
ครั้งนี้เขาลงมือล่วงเกินอยู่บ้างแล้วจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ตอนนี้เกรงว่าคงล่วงเกินผู้อาวุโสตระกูลโอวหยางตรงหน้าแล้ว
แต่เขากับซาฉู่เอ๋อร์รู้จักกันที่ทะเลทรายกุ่ยโม่ จะนิ่งดูดายมองอีกฝ่ายบาดเจ็บต่อหน้าย่อมไม่อาจทำได้
“เจ้าหนูจากที่ไหนกล้ามาทำกำเริบเสิบสานที่นี่?” ชายวัยกลางคนชุดม่วงเห็นเช่นนี้ก็โกรธจัด สายตาเย็นชาประหนึ่งดาบคมกริบมองมาหาหลิ่วหมิง
“ผู้อาวุโสซิน ผู้นี้คือสหายหลิ่วหมิงศิษย์สายในจากนิกายยอดบริสุทธิ์ ครั้งนี้เดินทางมาเขาหยกฝันเพื่อเยี่ยมเยียนหัวหน้าตระกูลโดยเฉพาะ” โอวหยางเชี่ยนเห็นเช่นนี้ คิ้วดำขลับก็ขมวดแต่ยังคงเอ่ยแนะนำประโยคหนึ่ง
พร้อมกันนั้นสตรีผู้นี้ก็ขยับเท้าดอกบัว เดินมาระหว่างกลางทั้งสองคนบังอยู่หน้าร่างหลิ่วหมิงนิดๆ เหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนา
“อ้อ? ที่แท้เจ้าก็คือหลิ่วหมิงที่อยากยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ของตระกูลเราคนนั้น” ชายวัยกลางคนชุดม่วงได้ยินดวงตาพลันฉายประกาย บนใบหน้าเผยสีหน้าเย็นชานิดๆ ออกมา
ในเวลาเดียวกันในหูหลิ่วหมิงก็ได้ยินเสียงของโอวหยางฉินส่งกระแสจิตเร็วไวมาหลายประโยค
หลังหลิ่วหมิงฟังจบ ในใจก็ตกตะลึง
บุรุษผู้นี้เบื้องหน้านามว่าโอวหยางซิน เป็นผู้อาวุโสในตระกูลโอวหยางผู้นั้นที่ต้องการผลักดันการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลโอวหยางกับนิกายปีศาจลี้ลับอย่างสุดกำลัง
หลังความคิดหมุนเร็วรี่ในใจแล้วคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ทำหน้าสงบนิ่งปล่อยฉู่เอ๋อร์แล้วประสานมือเอ่ยว่า
“หลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์คารวะผู้อาวุโสซิน”
“เหอะ นิกายยอดบริสุทธิ์ ชื่อเสียงใหญ่โตนักรึ! เป็นแค่ศิษย์สายในตัวเล็กๆ คนหนึ่ง คิดจะมายุ่งกับกิจธุระของตระกูลโอวหยางเรา ใจกล้าเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!” โอวหยางซินฟังแล้วสีหน้าเย็นชาบนใบหน้าไม่ลดลงสักนิด
“มิกล้า ผู้เยาว์เพียงเคยมีวาสนาพบหน้ากับแม่นางซาผู้นี้ที่หนานฮวงครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงทราบว่านางเป็นศิษย์ของผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์แห่งหนานฮวง ไม่ทราบเห็นแก่หน้าของผู้แข็งแกร่งท่านนี้ ผู้อาวุโสซินยอมให้นางพูดจนจบได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยขึ้นมา
“ผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์! เจ้าหนู เจ้าพูดเหลวไหลอันใด หนานฮวงมีผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ตั้งแต่เมื่อไร” โอวหยางซินได้ยินแรกสุดตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นได้จึงด่าทอด้วยสีหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา