สัมผัสเฉียบคมของหลิ่วหมิงรับรู้กลิ่นอายสังหารเจือจางที่ปรากฏขึ้นแวบหนึ่งแล้วหายไปท่ามกลางแรงดึงสายนั้นเมื่อครู่
ขณะที่เขากำลังเพ่งสัมผัสอยู่ พี่น้องโอวหยางก็เดินนำเข้าไปในประตูตำหนักใหญ่ก่อนแล้ว หลิ่วหมิงจึงได้แต่ตามเข้าไป
สองข้างของประตูตำหนักใหญ่แต่ละฝั่งมีผู้คุ้มกันร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ บนร่างสวมชุดเกราะสีม่วง มือหนึ่งถือดาบ มือหนึ่งถือโล่
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งในนั้นเห็นพวกหลิ่วหมิงสามคนเดินมาก็ขวางหน้าทั้งสามคนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ตวาดเสียงดังแต่ไกล
“ตำหนักประชุมเป็นสถานที่สำคัญ ไม่ได้รับอนุญาตห้ามเข้า!”
หลิ่วหมิงกวาดสายตาบนร่างผู้คุ้มกันทั้งสองคนรอบหนึ่ง
ปราณที่แผ่ออกมาจากร่างสองคนนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง เห็นชัดว่าทั้งคู่เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น ดาบด้ามยาวกับโล่ในมือทอแสงจิตวิญญาณแวววาว เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่คุณภาพสูงอย่างที่สุดสองชิ้น
โอวหยางเชี่ยนเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยันทีหนึ่ง พลิกมือเรียกป้ายสีม่วงแผ่นหนึ่งออกมาถือไว้แกว่งไปมาในมือ
สายตาของผุ้คุ้มกันเกราะม่วงจับอยู่บนป้ายในมือโอวหยางเชี่ยน จากนั้นร่างกายจึงค้อมคำนับเล็กน้อย ไม่พูดพร่ำหลีกทางให้
หลิ่วหมิงมองเห็นชัดเจนว่าป้ายในมือโอวหยางเชี่ยนเหมือนกับตราที่อินจิ่วหลิงให้เขาทุกประการ เพียงแต่ป้ายในมือโอวหยางเชี่ยนสลักภาพดวงดาวไว้สามดวงเท่านั้น
โอวหยางเชี่ยนเก็บป้ายไปแล้วมองลึกเข้าไปในตำหนัก นางไม่ได้เดินเข้าไปทันที แต่คิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากถาม
“หัวหน้าตระกูลอยู่ด้านใหรือไม่?”
“หัวหน้าตระกูลกำลังต้อนรับแขกอยู่ด้านใน…” ผู้คุ้มกันเกราะม่วงเอ่ยนิ่งๆ ส่วนสายตาเคลื่อนไปจับอยู่บนร่างหลิ่วหมิง
ตระกูลโอวหยางถือว่าสีม่วงเป็นเกียรติ นับแต่เข้ามาในเขาหยกฝันจนถึงตอนนี้ คนตระกูลโอวหยางทั้งหมดที่หลิ่วหมิงพบล้วนแต่งชุดสีม่วง เขาที่สวมชุดสีน้ำเงินทั้งตัวย่อมสะดุดตาอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องแล้ว พวกเราไปรอที่โถงข้างด้านในก็แล้วกัน” โอวหยางเชี่ยนได้ยินก็ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
พูดจบนางก็ยกเท้าเดินเข้าไปในตำหนักก่อน โอวหยางฉินตามติดเข้าไป ส่วนหลิ่วหมิงเดินอยู่ด้านหลังสุด
ผู้คุ้มกันเกราะม่วงมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง ในดวงตาฉายแววสงสัยจางๆ แต่ไม่ได้ก้าวเข้าไปขวางอย่างใด
ด้านในตำหนักคือทางเดินยาวเส้นหนึ่งที่ไม่ได้ตกแต่งมากนัก ทุกสองสามจั้งสองฝั่งของทางเดินยาวมีเสาศิลาแกะสลักต้นหนึ่งตั้งอยู่ บนเสาแกะสลักสัตว์วิเศษเช่นมังกร พยัคฆ์ กระเรียนเป็นต้น แผ่บรรยากาศเคร่งขรึมสายหนึ่งออกมา
ตลอดทางไม่มีคำใดถูกเอ่ยออกมา เสียงฝีเท้าของทั้งสามคนสะท้อนก้องบนทางเดินว่างเปล่า
ชั่วครู่ให้หลังหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าฉับพลันขยายกว้าง ห้องโถงโล่งแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทั้งสามคน
ฝั่งตรงข้ามของห้องโถงคือทางเข้าห้องโถงหลักกว้างขวางซึ่งสูงสองจั้งกว่า ด้านข้างยังมีห้องโถงข้างอีกแห่งหนึ่ง ยืนมองจากมุมของทั้งสาม ประตูของห้องโถงใหญ่กำลังปิดสนิท มองไม่เห็นสภาพด้านใน เพียงได้ยินอยู่เลือนรางว่าด้านในมีคนพูดคุยกัน
“พี่หลิ่ว หัวหน้าตระกูลกำลังต้อนรับแขกอยู่ด้านใน พวกเรารอสักครู่ค่อยเข้าไปหาเถิด” โอวหยางเชี่ยนมองประตูห้องโถงทีหนึ่งแล้วพาโอวหยางฉินเดินไปทางห้องโถงข้างที่อยู่ด้านข้าง
หลิ่วหมิงย่อมพยักหน้าอย่างเลือกไม่ได้แล้วก้าวเท้าตามไปด้วยเช่นกัน
เพิ่งก้าวไปได้สองก้าวในห้องโถงหลักก็พลันมีเสียงเอะอะร้อนรนดังออกมา จากนั้นเสียง “บึ๊ม” ก็ดังขึ้นหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่สองบานผลักเปิดไปสองฝั่ง
พวกโอวหยางเชี่ยนสามคนมองตากันทีหนึ่งแล้วหยุดก้าวเท้าทันที พวกเขาเหลียวหลังกลับไปมองอย่างสงสัยใคร่รู้
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง
เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งคล้ายถูกสายลมแรงสายหนึ่งซัดจนพุ่งถอยออกมา แต่หลังร่างกายพลิ้วทีหนึ่งก็ร่อนลงนอกประตูอย่างมั่นคง
นางเป็นหญิงสาวผู้สวมกระโปรงสีขาวหิมะผู้หนึ่ง!
เรือนร่างนางอรชร สองแขนสีกลีบบัวเผยอยู่นอกเสื้อ ใบหน้ามีผ้าตาข่ายสีขาวผืนหนึ่งปกปิดจึง มองสีหน้าและหน้าตาไม่ชัด แต่ดวงตาดุจดวงดาราคู่นั้นเห็นชัดว่าโกรธเกรี้ยวอยู่หลายส่วน
หลิ่วหมิงเห็นแววตาที่คุ้นเคยนี้ ร่างกายก็สะท้านเล็กน้อยในทันใด
สตรีกระโปรงขาวไม่ใช่ใครอื่น นางก็คือซาฉู่เอ๋อร์สตรีเผ่าทรายที่เคยมีวาสนาพบหน้ากันที่หนานฮวงนั่นเอง
สตรีนางนี้ตั้งร่างได้มั่นคงปุบ เสียงฝีเท้าหนักหน่วงก็ดังออกมาจากในห้องโถงหลัก ทันใดนั้นบุรุษวัยกลางคนชุดม่วงใบหน้าตอบยาวซีดเหลืองเดินออกมา จากนั้นขยับวูบหนึ่งขวางหน้าซาฉู่เอ๋อร์ไว้
โอวหยางเชี่ยนตอบสนองทันที ร่างกายค้อมคำนับทีหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า
“เชี่ยนเอ๋อร์คารวะผู้อาวุโสซิน”
แม้โอวหยางฉินข้างกายนางก็คำนับเช่นเดียวกัน แต่สีหน้าดูฝืนอยู่บ้าง
คิ้วดำเข้มของชายวัยกลางคนชุดม่วงขมวดเล็กน้อย เขามองพี่น้องโอวหยางด้วยแววตาคิดไม่ถึงทีหนึ่ง จากนั้นสายตาก็หยุดอยู่บนร่างหลิ่วหมิงชั่วครู่ ท้ายที่สุดจึงจับอยู่บนร่างหญิงสาวผู้ปิดบังใบหน้าเบื้องหน้าอีกครั้งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา
“แม่นางซา เจ้ากล้ามากพอตัวจริงๆ ไม่เพียงวนเวียนอยู่ที่ตระกูลโอวหยางของข้าไม่ไปไหน วันนี้ยังกล้าลักลอบเข้ามาที่นี่อีก”
ซาฉู่เอ๋อร์กลับไม่มองชายวัยกลางคนชุดม่วงตรงๆ ดวงเนตรดวงดารามองลึกเข้าไปในห้องโถงใหญ่ แล้วตะเบ็งเสียงเอ่ยขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา