ชายวันกลางคนชุดม่วงฟังแล้วก็กำลังจะเอ่ยปากโต้ แต่ถูกบุรุษผู้สง่างามยื่นมือขวางไว้ เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม
“ผู้อาวุโสซินกับเชี่ยนเอ๋อร์ คนหนึ่งแนะนำหลงเซวียน คนหนึ่งแนะนำศิษย์หลานหลิ่วให้ทำงานนั้นแทนตระกูลของเรา ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล ข้าก็ค่อนข้างลำบากใจ เอาเช่นนี้เถิด ไม่สู้ให้ศิษย์หลานหลิ่วกับศิษย์หลานหลงประลองกันต่อหน้าทุกคนสักครั้ง ผู้ใดชนะก็ได้สิทธิใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ เช่นนี้ยุติธรรมที่สุด อย่างไรงานเรื่องนั้นของตระกูลเรา ยิ่งคนนอกที่มาช่วยแข็งแกร่งก็ยิ่งมั่นใจใช่ไหม?”
พี่น้องโอวหยางได้ยินพลันยินดี พวกนางหันศีรษะมามองหลิ่วหมิง ในสายตามีความหวังอย่างยิ่ง
“ในเมื่อหัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมไม่มีความเห็นอื่น” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็ตอบรับ
เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ก็ไม่เหนือความคาดหมายของเขานัก
แม้ได้ยินโอวหยางเชี่ยนเล่าว่าหลงเซวียนผู้นั้นฝึกฝนวิชาลับอันร้ายกาจวิชาหนึ่งสำเร็จ แต่ด้วยพลังของหลิ่วหมิงวันนี้ หากลงมือเต็มกำลัง ไม่ต้องพูดถึงระดับผลึก ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลายเขาก็สู้ชนะได้
“หัวหน้าตระกูลทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง อย่างไรการตัดสินใจก่อนหน้านี้ก็เป็นการตัดสินใจของสภาผู้อาวุโส” โอวหยางซินสีหน้าย่ำแย่ทันที เขาหมุนตัวไปค้อมกายเอ่ยกับบุรุษผู้สง่างาม
“ผู้อาวุโสซิน แม้สภาผผู้อาวุโสจะมีอำนาจไม่น้อย แต่ตามกฎตระกูล หัวหน้าตระกูลมีสิทธิตั้งข้อสงสัย นอกจากนี้การตัดสินใจร่วมมือกับนิกายปีศาจลี้ลับเมื่อครั้งก่อนเหมือนจะเป็นการกระทำช่วงที่ข้าไม่อยู่ที่ตระกูลพอดี ข้าตัดสินใจแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอีก หากยังมีผู้อาวุโสท่านใดไม่ยอมรับก็มาหาข้าได้ ส่วนเวลาประลองกำหนดไว้วันพรุ่งนี้แล้วกัน” บุรุษผู้สง่างามได้ยินก็หัวเราะหึๆ ตอบกลับ
“ไม่กล้า! ในเมื่อหัวหน้าตระกูลตัดสินใจแล้ว หลงเซวียนด้านนั้นข้าจะไปคนไปแจ้งเอง หวังว่าศิษย์หลานหลิ่วผู้นี้ถึงเวลาจะไม่ทำให้คนผิดหวัง ข้าขอตัวก่อน” หลังโอวหยางซินสีหน้าเปลี่ยนไปมาอีกหลายครั้ง สุดท้ายก็ตอบรับโดยที่หน้ายิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม หลังจากนั้นเขาจึงประสานมือให้บุรุษผู้สง่างามแล้วก้าวยาวเดินออกไป
“ศิษย์หลานหลิ่วอย่าได้ถือโทษ ผู้อาวุโสซินก็อารมณ์ร้อนเช่นนี้” บุรุษผู้สง่างามพยักหน้าให้หลิ่วหมิงเล็กน้อยแล้วพูดเหมือนจนปัญญาอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไรขอรับ ครั้งนี้ผู้เยาว์ก็มาเยือนกะทันหันไปบ้าง” หลิ่วหมิงยิ้มตอบอย่างไม่แสดงท่าที บนใบหน้าไม่มีความผิดปกติสักนิด
“เชี่ยนเอ๋อร์ เจ้าพาศิษย์หลานหลิ่วไปพักผ่อนอย่าได้ชักช้า วันพรุ่งนี้เที่ยงก็พาเขาไปประลองที่เวทีเสวียนหยวนด้วย” บุรุษผู้สง่างามมองหลิ่วหมิงนิ่งนาน จากนั้นหันไปกำชับโอวหยางเชี่ยน
“หัวหน้าตระกูลโปรดวางใจ เชี่ยนเอ๋อร์กับพี่หลิ่วรู้จักกันมาแต่เก่าก่อน ข้าย่อมจัดการให้เหมาะสมแน่นอน” โอวหยางเชี่ยนแย้มรอยยิ้มรีบก้าวเข้าไปรับคำ
หลังหลิ่วหมิงค้อมกายคำนับบุรุษผู้สง่างามอีกครั้งก็ออกจากห้องโถงใหญ่ไปพร้อมพี่น้องโอวหยาง
หลังคนทั้งหมดออกไปแล้ว ในห้องโถงใหญ่ก็เงียบสนิท
บุรุษผู้สง่างามนั่งอยู่บนที่นั่งประธาน มือข้างหนึ่งลูบพนักเก้าอี้แผ่วเบา สายตาเปล่งประกายวูบหนึ่งราวกับว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
เวลานี้เองเงาคนร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ คนชุดม่วงผู้หนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวข้างกายบุรุษผู้สง่างาม
คนผู้นี้บนคางและแก้มมีหนวดเคราสีดำดกเฟิ้ม ร่างกายสวมชุดยาวที่เหมือนโอวหยางซิน ดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลโอวหยางเช่นกัน
หัวหน้าตระกูลโอวหยางไม่มีสีหน้าตกใจกับการปรากฏตัวของบุรุษเคราเฟิ้มผู้นี้ เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเอ่ยว่า
“บทสนทนาเมื่อครู่ เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม?”
“ขอบคุณหัวหน้าตระกูลยิ่ง!” บุรุษเคราเฟิ้มค้อมกายทีหนึ่งแล้วเอ่ยประโยคไม่มีต้นไม่มีปลายประโยคหนึ่งออกมา เสียงราวกับระฆังดังกังวาน
“แค่การใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ครั้งเดียวเท่านั้น ผู้อาวุโสอิงไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ แต่ให้คนนอกใช้ของศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลอย่างไรก็ไม่ดี จะทำให้เกิดความขัดแย้งในตระกูลได้ง่าย เรื่องนี้อย่าได้มีเป็นครั้งที่สอง” หัวหน้าตระกูลโอวหยางโบกมือเอ่ยนิ่งๆ
“ผู้น้อยเข้าใจแล้ว!” บุรุษเคราเฟิ้มสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม เสียงเบาลงอย่างห้ามไม่ได้
“ท่านคิดว่าหลิ่วหมิงคนนี้เป็นอย่างไร พูดให้ถึงที่สุดแล้วหลงเซวียนก็เป็นศิษย์ที่โดดเด่นในรุ่นนี้ของนิกายปีศาจลี้ลับ พลังย่อมไม่อาจดูแคลนได้” หัวหน้าตระกูลโอวหยางทอดเสียงอ้อยอิ่ง เอ่ยเปลี่ยนประเด็น
“แม้ข้าไม่เคยพบหลงเซวียน แต่เมื่อครู่นอกห้องโถงหลิ่วหมิงผู้นี้รับมือ ‘แทงวิญญาณสังหาร’ ขั้นปลายของผู้อาวุโสซินได้อย่างสบายๆ ด้านอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่ด้านพลังจิตอย่างเดียวก็บรรลุถึงระดับเดียวกับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้แล้ว ดูท่าอินจิ่วหลิงจะรับศิษย์ดีๆ มาคนหนึ่ง” บุรุษเคราเฟิ้มเอ่ยอย่างค่อนข้างชื่นชม
“เช่นนี้การประลองของทั้งสองคนคงจะมีอะไรให้ดูอยู่บ้าง ถ้าเช่นนั้นทุกสิ่งก็ตัดสินจากการประลองเถอะ อย่างไรก็เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของตระกูล พูดให้ถึงที่สุดพลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างไรก็เป็นเรื่องดี ผู้อาวุโสอิงเข้าใจเจตนาของข้าใช่ไหม?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยเช่นนี้แล้วสายตาก็มองบุรุษเคราเฟิ้มตรงหน้าอีกครั้ง
“ข้าเข้าใจ ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่หัวหน้าตระกูลตัดสิน” บุรุษเคราเฟิ้มประสานมือเอ่ย
หัวหน้าตระกูลโอวหยางพยักหน้าแล้วครุ่นคิดเงียบไปอีกครั้ง
“ถูกแล้ว หัวหน้าตระกูล แม่นางน้อยแซ่ซาผู้นั้น…หรือจะเป็นทายาทของโอวหยางหมิงจริงๆ” ทันใดนั้นบุรุษเคราเฟิ้มก็สายตาเป็นประกาย ถามอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“ดูหน้าตาท่าทางของนางก็มีเค้าของโอวหยางหมิงเมื่อตอนนั้นอยู่ลางๆ คิดว่าน่าจะเป็นสายเลือดที่เขาเหลือไว้อย่างไม่ต้องสงสัย” บุรุษผู้สง่างามดวงตาเข้มขึ้นในทันใด ชั่วครู่ให้หลังถึงเอ่ยตอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา