ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 855

สรุปบท ตอนที่ 855 วิชามารชิงหยาง: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 855 วิชามารชิงหยาง – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 855 วิชามารชิงหยาง ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 855 วิชามารชิงหยาง
เวทีเสวียนหยวนที่ยามปกติครึกครื้น ยามนี้กลับมีคนยืนอยู่ที่ขอบเวทีศิลาเพียงสามคนได้แก่หัวหน้าตระกูลโอวหยาง โอวหยางซินและหลงเซวียนจากนิกายปีศาจลี้ลับ

โอวหยางซินกำลังเอ่ยอะไรเสียงเบากับหัวหน้าตระกูลโอวหยาง ส่วนหลงเซวียนสีหน้าดังเช่นปกติยืนอยู่ด้านข้างอย่างนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา

เวลานี้เองปากทางเข้าหุบเขาก็มีลำแสงสีม่วงเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น มันกระพริบวูบวาบไม่กี่หนก็หยุดอยู่บนเวที

หลังแสงสีม่วงดับลงก็เผยให้เห็นบุรุษเคราเฟิ้มอาภรณ์สีม่วงผู้หนึ่ง โอวหยางอิงนั่นเอง

“คารวะหัวหน้าตระกูล!” โอวหยางอิงเพิ่งยืนมั่นคงก็ประสานมือเอ่ยเสียงกังวานกับหัวหน้าตระกูลโอวหยาง

“คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสอิงจะเลิกเก็บตัวแล้ว หากจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสอิงกำลังทะลวงระดับพลังอยู่กระมัง” โอวหยางซินที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ลำบากผู้อาวุโสซินให้เป็นห่วงแล้ว หลายวันก่อนได้ยินว่ามีคนถือตราของข้าเดินทางมาเยี่ยมเยือนเทือกเขาหยกฝัน ข้าจึงได้แต่เลิกเก็บตัวก่อนเวลา” โอวหยางอิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ

โอวหยางซินได้ยิน ดวงตาก็ฉายแววตามีเลศนัยเล็กน้อยแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว

ปกติการตอนรับคนนอกที่มาเยือนตระกูลโอวหยาง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้อาวุโสซินที่ออกหน้าจัดการ

เพราะเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับนิกายปีศาจลี้ลับ เขาจึงอาศัยช่วงที่อีกฝ่ายเก็บตัว จงใจปิดบังข่าวที่หลิ่วหมิงเดินทางมายืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ไว้ ดังนั้นแม้หลิ่วหมิงจะมาถึงหลายวันแล้ว แต่นอกจากหัวหน้าตระกูลกับผู้อาวุโสที่ดูแลไม่กี่คน ในตระกูลก็ไม่มีใครรู้สักเท่าไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอวหยางอิง โอวหยางซินสั่งศิษย์ในสังกัดอย่างเด็ดขาดว่าจำต้องปิดบังข่าวนี้จากเขาให้ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ตรงนี้ก็เห็นชัดว่ามีคนแจ้งข่าวกับเขาแล้วสินะ?

“ผู้นี้คงเป็นศิษย์หลานหลงจากนิกายปีศาจลี้ลับกระมัง?” โอวหยางอิงเคลื่อนสายตามาจับบนร่างหลงเซวียนแล้วหยุดบนเส้นผมสีเขียวบนศีรษะเขาชั่วครู่เป็นพิเศษ จากนั้นจึงหรี่ตาสองข้างลงพลางเอ่ยถามขึ้นมา

“หลงเซวียนคารวะผู้อาวุโสอิง” หลงเซวียนเก็บท่าทีหยิ่งทะนงไปแล้วประสานมือคำนับ

“จะว่าไปแล้ว หลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ผู้นั้นเหตุใดยังไม่มา ให้พวกเราตั้งหลายคนรอคนรุ่นหลังอย่างเขาคนเดียว ไม่เข้าท่าจริงๆ” โอวหยางซินมองหัวหน้าตระกูลโอวหยางเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนาแล้วเอ่ยขึ้นมา

“ผู้อาวุโสซินโปรดอย่าใจร้อน ยังไม่ถึงเวลาเที่ยงวัน…ท่านดู พวกเขามาแล้วไม่ใช่หรือ?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน สายตาทอดมองไปทางปากทางเข้าหุบเขา แล้วทันใดนั้นก็ยื่นมือชี้พร้อมเอ่ยขึ้นมา

บนท้องนภาเหนือปากทางเข้าหุบเขาเมฆดำแถบหนึ่งลอยมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก บนก้อนเมฆมีชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาก็คือหลิ่วหมิง

หลังร่างเขายังมีแสงสองดวงเคลื่อนตามติดมาด้วย โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินสองคนนั่นเอง

หลังผ่านไปสองสามลมหายใจทั้งสามคนก็ร่อนลงบนเวที

“หลิ่วหมิงคารวะผู้อาวุโสทั้งสาม” ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงเห็นคนทั้งหลายบนเวทีแต่ไกลแล้ว แม้ไม่รู้จักบุรุษเคราเฟิ้มผู้นั้น แต่เขาก็ยังค้อมกายเล็กน้อยให้ทั้งสามคน จากนั้นกวาดสายตาไปทางหลงเซวียนด้านข้าง

โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวคำนับหัวหน้าตระกูลโอวหยางกับผู้อาวุโสทั้งสองครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ไม่สนใจไยดีหลงเซวียนที่อยู่ด้านข้าง พวกนางมองเมินเหมือนไม่เห็นแล้วไปยืนอีกด้านหนึ่ง

หลงเซวียนเห็นโอวหยางเชี่ยน โอวหยางฉินกับหลิ่วหมิงมาด้วยกัน แววตาเหี้ยมเกรียมก็ปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้าง เขาก็ไม่เป็นฝ่ายเอ่ยอันใดขึ้นมาเช่นเดียวกัน

“แม้ยังไม่ถึงเที่ยงวัน แต่ในเมื่อศิษย์หลานทั้งสองมาถึงแล้ว เริ่มการประลองเร็วหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง ข้าห้ามศิษย์ในตระกูลไม่ให้เข้ามาในที่แห่งนี้แล้ว ศิษย์หลานทั้งสองไม่ต้องพะวงสิ่งใด ใช้พลังได้เต็มที่ การประลองครั้งนี้ให้ผู้อาวุโสอิงเป็นกรรมการก็แล้วกัน” หัวหน้าตระกูลโอวหยางหัวเราะแล้วมองบุรุษเคราเฟิ้มที่ยืนอยู่ข้างกาย

“อะไรกัน คนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสอิงหรือ? ผู้อาวุโสตระกูลโอวหยางคนนั้นที่เดิมทีอินจิ่วหลิงให้เขามาหา!” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมตะลึงจนอดไม่ได้มองบุรุษเคราเฟิ้มหนหนึ่ง

ชายวัยกลางคนชุดม่วงได้ยินก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

บุรุษเคราเฟิ้มตอบรับจากนั้นทะยานร่างเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือเวที

หลิ่วหมิงกับหลงเซวียนสบตากันทีหนึ่ง จุดที่สายตาประสานกันราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน จากนั้นทั้งสองก็ทะยานร่างขึ้นฟ้าพร้อมกัน ร่อนลงใจกลางเวทีแทบจะในเวลาเดียวกันแล้วยืนประจันหน้ากัน

“การประลองครั้งนี้ข้าเป็นกรรรมการ ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ผู้ชนะจะได้ใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ของตระกูลโอวหยางเราหนึ่งครั้งและรับปากว่าจะทำงานใหญ่ชิ้นหนึ่งของตระกูลโอวหยางเราให้บรรลุ พวกเจ้าสองคนหากมีผู้ไม่ยินยอม ตอนนี้ก็ถอนตัวไปเสีย” โอวหยางอิงเอ่ยข้อตกลงช้าๆ รอบหนึ่ง พร้อมกันนั้นสายตาก็กวาดบนร่างทั้งสองคนด้านล่าง

ถึงเวลานี้หลิ่วหมิงย่อมไม่เอ่ยปากถอนตัว เขาเพียงยิ้มน้อยๆ ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

ส่วนหลงเซวียนฝั่งตรงข้ามจ้องหลิ่วหมิงเขม็งด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ดีมาก! แต่ทั้งสองท่านล้วนไม่ใช่ศิษย์ตระกูลโอวหยางของเรา ดังนั้นยามประลองขอให้ประลองแต่สมควร อย่าลงมือสังหาร มิเช่นนั้นข้าจะบังคับหยุดการประลอง ประกาศให้ฝ่ายที่ฝ่าฝืนกฎแพ้” โอวหยางอิงเห็นทั้งสองคนล้วนไม่เอ่ยวาจาจึงเอ่ยขึ้นเสียงเคร่ง

“ได้”

“ไม่มีปัญหา”

ครั้งนี้หลิ่วหมิงกับหลงเซวียนล้วนพยักหน้า

“ดีมาก การประลองเริ่มขึ้น ณ บัดนี้”

โอวหยางอิงเอ่ยขึ้นแล้วสะบัดมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา ทันใดนั้นยันต์สีน้ำเงินนับไม่ถ้วนก็รุมล้อมบนเวทีเสวียนหยวนจากนั้นกลายเป็นม่านแสงครึ่งวงกลมสีน้ำเงินอ่อนชั้นหนึ่งกลางอากาศ กักพวกหลิ่วหมิงสองคนไว้ตรงกลาง

“หลิ่วหมิง อย่าคิดว่าได้อันดับหนึ่งจากงานประตูสวรรค์แล้วตนเองจะเยี่ยมยอดนัก วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจว่ามีเพียงข้าหลงเซวียนถึงจะเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ของสี่ยอดนิกายใหญ่” หลงเซวียนเห็นเช่นนี้ ในดวงตาพลันทอประกายเย็นเยียบแล้วเอ่ยขึ้น

เพิ่งเอ่ยจบ เขาก็ท่องมนตร์อย่างเร็วไว เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นทีหนึ่ง บนร่างเขาก็มีเปลวเพลิงสีเขียวลุกโชน

แม้หลิ่วหมิงยืนอยู่ห่างหลายสิบจั้งก็ยังสัมผัสได้ถึงสายลมร้อนผ่าวสายหนึ่งที่ถาโถมเข้ามาใส่ใบหน้า ในใจจึงพรั่นพรึงเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา ปราณดำบนร่างทะลักออกมา พร้อมกับที่เคล็ดวิชาในมือเขาพร่าเลือนไป เงามังกรสีดำประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่า ร้องคำถามถาโถมออกมาทันที

หลงเซวียนฝั่งตรงข้ามเห็นเช่นนี้ก็ยกมือขึ้น อสรพิษประหลาดสีเขียวยาวหลายจั้งตัวหนึ่งทะลวงออกมาจากในแขนเสื้อแล้วพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม

เสียงพยัคฆ์คำรามดังกึกก้อง!

เงาหมัดหัวพยัคฆ์สีดำสนิทประหนึ่งมีชีวิตข้างหนึ่งลอยออกมาแล้วกระแทกเข้าใส่หลงเซวียนประหนึ่งดาวตกพร้อมเสียงคำราม

พลังอันแข็งแกร่งที่แฝงมาบนเงาหมัดพุ่งแหวกอากาศจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น

หลงเซวียนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาตกตะลึงกับพลังกายเนื้ออันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงอยู่บ้าง แต่เพียงครู่เดียวสองมือก็ทำท่าเคล็ดวิชาหลายท่าอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงสีเขียวก่อตัวเพียงชั่วครู่ก็กลายเป็นดอกบัวสีเขียวดอกหนึ่งผลิดอกแล้วแย้มกลีบบานเบื้องหน้าเขาอย่างเร็วไว

เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!

กลีบดอกสีเขียวขนาดมหึมาต้านเงาหมัดสีดำสนิทไว้ กลีบดอกไม้เอนไปด้านหน้าเหมือนจะหุ้มหมัดนี้เข้าไป

ตามติดต่อจากนั้นดอกบัวสีเขียวก็พลันกลายเป็นเปลวเพลิงสีเขียวดวงหนึ่ง เสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังลั่น เพียงครู่เดียวเงาหมัดหัวพยัคฆ์ก็ไหม้เป็นขี้เถ้า

หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ก็คิ้วขมวดเล็กน้อย

ชะงักไปเพียงครู่เดียว อสรพิษประหลาดที่มีไฟสีเขียวลุกท่วมสองตัวซึ่งเขาสลัดทิ้งไว้หลังร่างก็ย้อนกลับมา โถมเข้าใส่แผ่นหลังของเขาอย่างรวดเร็วกว่าเดิม

หลิ่วหมิงแค่นเสียงคำหนึ่งแล้วพลิกมือ โจมตีสองฝ่ามือใส่อากาศ

เสียงระเบิดดังแสบแก้วหู เงาฝ่ามือสีดำสองข้างลอยออกมา!

เห็นชัดว่าพลังป้องกันของอสรพิษเพลิงเขียวสู้ดอกบัวที่หลงเซวียนเสกออกมาเมื่อครู่ไม่ได้ เสียงครวญคราญดังขึ้นจากนั้นพวกมันก็ถูกโจมตีกระจุยกลายเป็นดาวตกดวงไฟสีเขียวลอยกระจายออกไป

ในเวลานี้เองร่างกายของหลงเซวียนก็ถูกเปลวเพลิงโหมกระหน่ำสีเขียวห่อหุ้มไว้ เสียงหัวเราะลั่นได้ใจของหลงเซวียนดังออกมาจากใจกลางเปลวเพลิง เสียงราวกับกำลังจะบ้าคลั่ง

“เอาล่ะ! หลิ่วหมิงเจ้ายอมแพ้ได้แล้ว อยู่ต่อหน้าเทพชิงหยาง เจ้าไม่มีโอกาสใดๆ อีกแล้ว!”

สิ้นเสียง เปลวเพลิงสีเขียวก็ลุกไหม้รุนแรงขึ้นกว่าเดิมแล้วเผยเงาของหลงเซวียนออกมา

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ร่างกายเขาขยายขึ้นเกือบหนึ่งเท่าจนกลายเป็นยักษ์สูงสามจั้งกว่าตนหนึ่ง นอกจากนี้บนร่างกายส่วนที่โผล่พ้นเสื้อผ้ายังปรากฏลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวประหลาดเหมือนไส้เดือนตัวแล้วตัวเล่า

นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุด บนแผ่นหลังของหลงเซวียนยังมีเปลวเพลิงสีเขียวโหมกระหน่ำก่อตัวกลายเป็นยักษ์สีเขียวสูงสิบกว่าจั้งตนหนึ่ง ใบหน้ามันพร่ามัวไม่ชัด แต่เห็นว่าบนศีรษะมีเขายาวโง้งคู่หนึ่ง ร่างกายสวมชุดเกราะ ขณะที่แขนกำยำหกข้างถืออาวุธต่างๆ นานาเช่นดาบ กระบี่ โล่

ไอปีศาจเข้มข้นสายหนึ่งแผ่ขยายไปสี่ด้านแปดทิศโดยมีมันเป็นศูนย์กลาง ราวกับว่าราชามารปรากฏกายขึ้นบนโลก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา