โอวหยางซินกำลังเอ่ยอะไรเสียงเบากับหัวหน้าตระกูลโอวหยาง ส่วนหลงเซวียนสีหน้าดังเช่นปกติยืนอยู่ด้านข้างอย่างนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา
เวลานี้เองปากทางเข้าหุบเขาก็มีลำแสงสีม่วงเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น มันกระพริบวูบวาบไม่กี่หนก็หยุดอยู่บนเวที
หลังแสงสีม่วงดับลงก็เผยให้เห็นบุรุษเคราเฟิ้มอาภรณ์สีม่วงผู้หนึ่ง โอวหยางอิงนั่นเอง
“คารวะหัวหน้าตระกูล!” โอวหยางอิงเพิ่งยืนมั่นคงก็ประสานมือเอ่ยเสียงกังวานกับหัวหน้าตระกูลโอวหยาง
“คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสอิงจะเลิกเก็บตัวแล้ว หากจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสอิงกำลังทะลวงระดับพลังอยู่กระมัง” โอวหยางซินที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ลำบากผู้อาวุโสซินให้เป็นห่วงแล้ว หลายวันก่อนได้ยินว่ามีคนถือตราของข้าเดินทางมาเยี่ยมเยือนเทือกเขาหยกฝัน ข้าจึงได้แต่เลิกเก็บตัวก่อนเวลา” โอวหยางอิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
โอวหยางซินได้ยิน ดวงตาก็ฉายแววตามีเลศนัยเล็กน้อยแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
ปกติการตอนรับคนนอกที่มาเยือนตระกูลโอวหยาง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้อาวุโสซินที่ออกหน้าจัดการ
เพราะเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับนิกายปีศาจลี้ลับ เขาจึงอาศัยช่วงที่อีกฝ่ายเก็บตัว จงใจปิดบังข่าวที่หลิ่วหมิงเดินทางมายืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ไว้ ดังนั้นแม้หลิ่วหมิงจะมาถึงหลายวันแล้ว แต่นอกจากหัวหน้าตระกูลกับผู้อาวุโสที่ดูแลไม่กี่คน ในตระกูลก็ไม่มีใครรู้สักเท่าไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอวหยางอิง โอวหยางซินสั่งศิษย์ในสังกัดอย่างเด็ดขาดว่าจำต้องปิดบังข่าวนี้จากเขาให้ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ตรงนี้ก็เห็นชัดว่ามีคนแจ้งข่าวกับเขาแล้วสินะ?
“ผู้นี้คงเป็นศิษย์หลานหลงจากนิกายปีศาจลี้ลับกระมัง?” โอวหยางอิงเคลื่อนสายตามาจับบนร่างหลงเซวียนแล้วหยุดบนเส้นผมสีเขียวบนศีรษะเขาชั่วครู่เป็นพิเศษ จากนั้นจึงหรี่ตาสองข้างลงพลางเอ่ยถามขึ้นมา
“หลงเซวียนคารวะผู้อาวุโสอิง” หลงเซวียนเก็บท่าทีหยิ่งทะนงไปแล้วประสานมือคำนับ
“จะว่าไปแล้ว หลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ผู้นั้นเหตุใดยังไม่มา ให้พวกเราตั้งหลายคนรอคนรุ่นหลังอย่างเขาคนเดียว ไม่เข้าท่าจริงๆ” โอวหยางซินมองหัวหน้าตระกูลโอวหยางเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนาแล้วเอ่ยขึ้นมา
“ผู้อาวุโสซินโปรดอย่าใจร้อน ยังไม่ถึงเวลาเที่ยงวัน…ท่านดู พวกเขามาแล้วไม่ใช่หรือ?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน สายตาทอดมองไปทางปากทางเข้าหุบเขา แล้วทันใดนั้นก็ยื่นมือชี้พร้อมเอ่ยขึ้นมา
บนท้องนภาเหนือปากทางเข้าหุบเขาเมฆดำแถบหนึ่งลอยมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก บนก้อนเมฆมีชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาก็คือหลิ่วหมิง
หลังร่างเขายังมีแสงสองดวงเคลื่อนตามติดมาด้วย โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินสองคนนั่นเอง
หลังผ่านไปสองสามลมหายใจทั้งสามคนก็ร่อนลงบนเวที
“หลิ่วหมิงคารวะผู้อาวุโสทั้งสาม” ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงเห็นคนทั้งหลายบนเวทีแต่ไกลแล้ว แม้ไม่รู้จักบุรุษเคราเฟิ้มผู้นั้น แต่เขาก็ยังค้อมกายเล็กน้อยให้ทั้งสามคน จากนั้นกวาดสายตาไปทางหลงเซวียนด้านข้าง
โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวคำนับหัวหน้าตระกูลโอวหยางกับผู้อาวุโสทั้งสองครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ไม่สนใจไยดีหลงเซวียนที่อยู่ด้านข้าง พวกนางมองเมินเหมือนไม่เห็นแล้วไปยืนอีกด้านหนึ่ง
หลงเซวียนเห็นโอวหยางเชี่ยน โอวหยางฉินกับหลิ่วหมิงมาด้วยกัน แววตาเหี้ยมเกรียมก็ปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้าง เขาก็ไม่เป็นฝ่ายเอ่ยอันใดขึ้นมาเช่นเดียวกัน
“แม้ยังไม่ถึงเที่ยงวัน แต่ในเมื่อศิษย์หลานทั้งสองมาถึงแล้ว เริ่มการประลองเร็วหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง ข้าห้ามศิษย์ในตระกูลไม่ให้เข้ามาในที่แห่งนี้แล้ว ศิษย์หลานทั้งสองไม่ต้องพะวงสิ่งใด ใช้พลังได้เต็มที่ การประลองครั้งนี้ให้ผู้อาวุโสอิงเป็นกรรมการก็แล้วกัน” หัวหน้าตระกูลโอวหยางหัวเราะแล้วมองบุรุษเคราเฟิ้มที่ยืนอยู่ข้างกาย
“อะไรกัน คนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสอิงหรือ? ผู้อาวุโสตระกูลโอวหยางคนนั้นที่เดิมทีอินจิ่วหลิงให้เขามาหา!” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมตะลึงจนอดไม่ได้มองบุรุษเคราเฟิ้มหนหนึ่ง
ชายวัยกลางคนชุดม่วงได้ยินก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
บุรุษเคราเฟิ้มตอบรับจากนั้นทะยานร่างเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือเวที
หลิ่วหมิงกับหลงเซวียนสบตากันทีหนึ่ง จุดที่สายตาประสานกันราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน จากนั้นทั้งสองก็ทะยานร่างขึ้นฟ้าพร้อมกัน ร่อนลงใจกลางเวทีแทบจะในเวลาเดียวกันแล้วยืนประจันหน้ากัน
“การประลองครั้งนี้ข้าเป็นกรรรมการ ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ผู้ชนะจะได้ใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ของตระกูลโอวหยางเราหนึ่งครั้งและรับปากว่าจะทำงานใหญ่ชิ้นหนึ่งของตระกูลโอวหยางเราให้บรรลุ พวกเจ้าสองคนหากมีผู้ไม่ยินยอม ตอนนี้ก็ถอนตัวไปเสีย” โอวหยางอิงเอ่ยข้อตกลงช้าๆ รอบหนึ่ง พร้อมกันนั้นสายตาก็กวาดบนร่างทั้งสองคนด้านล่าง
ถึงเวลานี้หลิ่วหมิงย่อมไม่เอ่ยปากถอนตัว เขาเพียงยิ้มน้อยๆ ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
ส่วนหลงเซวียนฝั่งตรงข้ามจ้องหลิ่วหมิงเขม็งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ดีมาก! แต่ทั้งสองท่านล้วนไม่ใช่ศิษย์ตระกูลโอวหยางของเรา ดังนั้นยามประลองขอให้ประลองแต่สมควร อย่าลงมือสังหาร มิเช่นนั้นข้าจะบังคับหยุดการประลอง ประกาศให้ฝ่ายที่ฝ่าฝืนกฎแพ้” โอวหยางอิงเห็นทั้งสองคนล้วนไม่เอ่ยวาจาจึงเอ่ยขึ้นเสียงเคร่ง
“ได้”
“ไม่มีปัญหา”
ครั้งนี้หลิ่วหมิงกับหลงเซวียนล้วนพยักหน้า
“ดีมาก การประลองเริ่มขึ้น ณ บัดนี้”
โอวหยางอิงเอ่ยขึ้นแล้วสะบัดมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา ทันใดนั้นยันต์สีน้ำเงินนับไม่ถ้วนก็รุมล้อมบนเวทีเสวียนหยวนจากนั้นกลายเป็นม่านแสงครึ่งวงกลมสีน้ำเงินอ่อนชั้นหนึ่งกลางอากาศ กักพวกหลิ่วหมิงสองคนไว้ตรงกลาง
“หลิ่วหมิง อย่าคิดว่าได้อันดับหนึ่งจากงานประตูสวรรค์แล้วตนเองจะเยี่ยมยอดนัก วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจว่ามีเพียงข้าหลงเซวียนถึงจะเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ของสี่ยอดนิกายใหญ่” หลงเซวียนเห็นเช่นนี้ ในดวงตาพลันทอประกายเย็นเยียบแล้วเอ่ยขึ้น
เพิ่งเอ่ยจบ เขาก็ท่องมนตร์อย่างเร็วไว เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นทีหนึ่ง บนร่างเขาก็มีเปลวเพลิงสีเขียวลุกโชน
แม้หลิ่วหมิงยืนอยู่ห่างหลายสิบจั้งก็ยังสัมผัสได้ถึงสายลมร้อนผ่าวสายหนึ่งที่ถาโถมเข้ามาใส่ใบหน้า ในใจจึงพรั่นพรึงเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา ปราณดำบนร่างทะลักออกมา พร้อมกับที่เคล็ดวิชาในมือเขาพร่าเลือนไป เงามังกรสีดำประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่า ร้องคำถามถาโถมออกมาทันที
หลงเซวียนฝั่งตรงข้ามเห็นเช่นนี้ก็ยกมือขึ้น อสรพิษประหลาดสีเขียวยาวหลายจั้งตัวหนึ่งทะลวงออกมาจากในแขนเสื้อแล้วพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา