“พี่หลง ยังจะประลองอีกไหม?”
หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่งแล้วสะบัดมือ แสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งบินกลับมาอยู่ในมือเขา แล้วโลดเต้นเบาๆ หลายครั้งราวกับสิ่งมีชีวิต
เวลานี้คือการประลอง หากไม่ใช่เพราะกฎที่โอวหยางอิงประกาศไว้ก่อนหน้านี้ หนึ่งกระบี่เมื่อครู่ของเขาคงสะบั้นศีรษะของหลงเซวียนไปนานแล้ว
หลงเซวียนสีหน้าย่ำแย่ สักประโยคก็เอ่ยไม่ออก แต่ร่างกายมหึมาคล้ายลมรั่ว กลับคืนมาขนาดเดิมอย่างรวดเร็ว ลมปราณก็เซื่องซึมลงในพริบตาเช่นกัน
“ข้าขอประกาศว่าการประลองครั้งนี้ หลิ่วหมิงชนะ!”
โอวหยางอิงที่อยู่กลางอากาศประกาศอย่างเด็ดขาดยิ่งนัก ในเวลาเดียวกันนั้นสีหน้าของเขายามมองหลิ่วหมิงก็มีความยินดีพร้อมกับคิดไม่ถึงนิดๆ ด้วย
เห็นชัดว่าการที่หลิ่วหมิงชนะได้อย่างเด็ดขาดในการประลองครั้งนี้เหนือความคาดคิดของเขาอย่างยิ่ง
คำพูดของโอวหยางอิงเพิ่งเอ่ยจบ มือข้างหนึ่งก็สะบัด เคล็ดวิชาสายหนึ่งจมหายไปในเขตแดนบนเวทีประลอง
ผิวของเขตแดนส่องแสงสีน้ำเงินออกมาสองสามหนทันทีจากนั้นก็แตกสลายไปเอง
หลงเซวียนได้ยิน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความคับแค้น เขามองมาหาหลิ่วหมิงแต่ไม่พูดสักคำ จากนั้นเหาะขึ้นฟ้ากลายเป็นลำแสงสีดำเส้นหนึ่งแหวกท้องนภาจากไป
โอวหยางซินที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านข้างใบหน้าเขียวคล้ำ หลังเอ่ยอย่างรีบเร่งกับหัวหน้าตระกูลสองประโยคก็สะบัดแขนเสื้อกลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไล่ตามไปทางที่หลงเซวียนจากไปด้วย
หัวหน้าตระกูลโอวหยางยิ้มน้อยๆ มองสำรวจหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่บนเวทีตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่หยุด
หลิ่วหมิงเวลานี้เก็บกระบี่บินว่างเปล่าเข้าไปในฝักกระบี่แล้ว มือข้างหนึ่งลูบซ่อนมันไว้ ต่อจากนั้นจึงเก็บเคล็ดวิชา เสื้อสะบัดพลิ้วร่อนลงมาจากบนเวทีศิลา ระหว่างที่ร่อนลงมาก็ทยอยเก็บเงาวัวสีน้ำเงินกับเคล็ดวิชาเกราะอสูรไปด้วย
“พี่หลิ่ว ยินดีด้วย!”
โอวหยางเชี่ยนเดินเข้ามารับพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มงดงาม โอวหยางฉินผู้มีสีหน้าเฉยชาเป็นนิจด้านหลังร่างนางก็ก็เผยสีหน้ายินดีอย่างห้ามไม่อยู่ออกมาด้วย
หลงเซวียนพ่ายครั้งนี้ เรื่องงานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับนิกายปีศาจลี้ลับก็ได้แต่ยกเลิก ทั้งสองคนย่อมไม่ต้องแต่งงานกับหลงเซวียนแห่งนิกายปีศาจลี้ลับผู้นั้นแล้ว
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ ให้ทั้งสองคน จากนั้นสายตาจึงมองไปบนร่างโอวหยางเจี้ยนชิวที่อยู่ไม่ไกล แล้วค้อมกายคำนับจากไกลๆ
“ฮ่ะๆ ศิษย์หลานหลิ่วพลังแข็งแกร่งเหนือกว่าที่ข้าคิด ไม่เสียทีเป็นอันดับหนึ่งของงานประตูสวรรค์” หัวหน้าตระกูลโอวหยางหัวเราะพลางก้าวเดินเข้ามาช้าๆ
“หัวหน้าตระกูลล้อเล่นแล้ว พลังตื้นเขินเท่านี้ของข้า ตระกูลโอวหยางส่งศิษย์ระดับแก่นแท้ออกมาสักคนก็แข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างถ่อมตัว
“ศิษย์หลานถ่อมตัวเกินไปแล้ว เอาล่ะ ถ้อยคำตามมารยาทพูดกันเท่านี้ก็พอ ในเมื่อศิษย์หลานหลิ่วชนะการประลองครั้งนี้ ย่อมได้ใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ของตระกูลเราหนึ่งครั้งตามสัญญา แน่นอนก่อหน้านั้นจะต้องทำสัญญาเวทก่อนว่าหลังเสร็จเรื่องจะรับปากทำงานเรื่องหนึ่งให้ตระกูลโอวหยางเราถึงจะได้” หัวหน้าตระกูลโอวหยางมองโอวหยางอิงที่เพิ่งเหาะเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง!” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ยินดียิ่งนัก รีบประสานมือเอ่ยขอบคุณอีกหน
“เรื่องต่อจากนี้มอบให้ผู้อาวุโสอิงจัดการก็แล้วกัน ต้องทำให้ศิษย์หลานหลิ่วพอใจที่สุด” หัวหน้าตระกูลโอวหยางอมยิ้มกำชับอีกหนึ่งประโยค รอบร่างก็เปล่งแสงสีม่วงบินจากเวทีเสวียนหยวนมุ่งไปนอกหุบเขา
สี่คนที่เหลืออยู่บนเวทีเสวียนหยวนมองส่งหัวหน้าตระกูลแล้วนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
โอวหยางอิงมองสำรวจหลิ่วหมิงจากหัวจรดเท้าอยู่หลายครั้ง ทันใดนั้นบนหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาแล้วเอ่ยว่า
“ครั้งก่อนที่พบหน้ากับสหายอินคือเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนหน้า เวลานั้นในสังกัดของเขามีเพียงเสี่ยวอู่เป็นศิษย์สายตรงเพียงคนเดียว คิดไม่ถึงว่าไม่กี่สิบปีนี้เจ้าเฒ่าคนนี้จะรับศิษย์ดีๆ เช่นนี้มาอีกคนหนึ่ง!”
“ผู้อาวุโสอิงชมเกินไปแล้ว ยามมาอาจารย์กำชับไว้ว่าให้มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับผู้อาวุโสอิงแทนเขาด้วย” หลิ่วหมิงรู้ว่าโอวหยางอิงกับอินจิ่วหลิงมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา น้ำเสียงที่เอ่ยวาจาจึงนอบน้อมยิ่งนัก
“อินจิ่วหลิงเจ้าเฒ่าคนนี้อยากเตือนข้าว่าอย่าลืมสัญญาเก่าก่อนล่ะสิ!” โอวหยางอิงแค่นเสียงเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง แต่ในน้ำเสียงไม่มีความชิงชังสักเท่าไร
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่เอ่ยคำใดต่อ
“กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์เตรียมไว้พร้อมนานแล้ว ไม่รู้ว่าศิษย์หลานหลิ่วคิดจะใช้เมื่อใด?” โอวหยางอิงแค่นเสียงจบก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าต้องการเวลาสองวันปรับสภาพจิตใจ สามวันให้หลังเป็นอย่างไร?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็อ้าปากบอก
แม้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้กับหลงเซวียน แต่ก็เสียพลังเวทพลังกายไปไม่น้อย ก่อนหน้าเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน เขาต้องทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด
“ก็ดี! สามวันให้หลัง เจ้าตรงไปที่ตำหนักหลิงหลงได้เลย เรื่องอื่นข้าจะช่วยเจ้าจัดการให้เรียบร้อยเอง แต่หลังเสร็จเรื่องไม่ว่าทะลวงเข้าระดับแก่นเสมือนได้หรือไม่ก็ต้องดูโชคชะตาของเจ้าเองแล้ว” โอวหยางอิงพยักหน้า
“เรื่องนี้แน่นอน ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งที่ใส่ใจ” หลิ่วหมิงเอ่ยขอบคุณซ้ำ
ต่อจากนั้นโอวหยางอิงถามถึงสภาพระยะนี้ของอินจิ่วหลิงอีกหลายประโยคก็ไม่รั้งอยู่ต่อ ล่องลอยจากไปเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นบนเวทีเสวียนหยวนก็เหลือเพียงหลิ่วหมิงกับสองพี่น้องโอวหยาง
“ขอบคุณพี่หลิ่วยิ่งที่เอาชนะหลงเซวียนผู้นั้น ช่วยพวกเราเลี่ยงเคราะห์ไปได้ครั้งหนึ่ง” โอวหยางเชี่ยนตอนนี้ถึงคำนับอย่างอ้อนช้อยให้หลิ่วหมิงครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา