ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 857

สรุปบท ตอนที่ 857 ผู้อาวุโสชิงเฟิง: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

สรุปตอน ตอนที่ 857 ผู้อาวุโสชิงเฟิง – จากเรื่อง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

ตอน ตอนที่ 857 ผู้อาวุโสชิงเฟิง ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 857 ผู้อาวุโสชิงเฟิง
หลงเซวียนในเวลานี้ใบหน้าไร้สีเลือด มือข้างหนึ่งกดรอยแผลบนหน้าอกที่เลือดทะลักออกมา ขณะที่หอบหายใจหนักหน่วงจนลุกไม่ขึ้น

“พี่หลง ยังจะประลองอีกไหม?”

หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่งแล้วสะบัดมือ แสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งบินกลับมาอยู่ในมือเขา แล้วโลดเต้นเบาๆ หลายครั้งราวกับสิ่งมีชีวิต

เวลานี้คือการประลอง หากไม่ใช่เพราะกฎที่โอวหยางอิงประกาศไว้ก่อนหน้านี้ หนึ่งกระบี่เมื่อครู่ของเขาคงสะบั้นศีรษะของหลงเซวียนไปนานแล้ว

หลงเซวียนสีหน้าย่ำแย่ สักประโยคก็เอ่ยไม่ออก แต่ร่างกายมหึมาคล้ายลมรั่ว กลับคืนมาขนาดเดิมอย่างรวดเร็ว ลมปราณก็เซื่องซึมลงในพริบตาเช่นกัน

“ข้าขอประกาศว่าการประลองครั้งนี้ หลิ่วหมิงชนะ!”

โอวหยางอิงที่อยู่กลางอากาศประกาศอย่างเด็ดขาดยิ่งนัก ในเวลาเดียวกันนั้นสีหน้าของเขายามมองหลิ่วหมิงก็มีความยินดีพร้อมกับคิดไม่ถึงนิดๆ ด้วย

เห็นชัดว่าการที่หลิ่วหมิงชนะได้อย่างเด็ดขาดในการประลองครั้งนี้เหนือความคาดคิดของเขาอย่างยิ่ง

คำพูดของโอวหยางอิงเพิ่งเอ่ยจบ มือข้างหนึ่งก็สะบัด เคล็ดวิชาสายหนึ่งจมหายไปในเขตแดนบนเวทีประลอง

ผิวของเขตแดนส่องแสงสีน้ำเงินออกมาสองสามหนทันทีจากนั้นก็แตกสลายไปเอง

หลงเซวียนได้ยิน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความคับแค้น เขามองมาหาหลิ่วหมิงแต่ไม่พูดสักคำ จากนั้นเหาะขึ้นฟ้ากลายเป็นลำแสงสีดำเส้นหนึ่งแหวกท้องนภาจากไป

โอวหยางซินที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านข้างใบหน้าเขียวคล้ำ หลังเอ่ยอย่างรีบเร่งกับหัวหน้าตระกูลสองประโยคก็สะบัดแขนเสื้อกลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไล่ตามไปทางที่หลงเซวียนจากไปด้วย

หัวหน้าตระกูลโอวหยางยิ้มน้อยๆ มองสำรวจหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่บนเวทีตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่หยุด

หลิ่วหมิงเวลานี้เก็บกระบี่บินว่างเปล่าเข้าไปในฝักกระบี่แล้ว มือข้างหนึ่งลูบซ่อนมันไว้ ต่อจากนั้นจึงเก็บเคล็ดวิชา เสื้อสะบัดพลิ้วร่อนลงมาจากบนเวทีศิลา ระหว่างที่ร่อนลงมาก็ทยอยเก็บเงาวัวสีน้ำเงินกับเคล็ดวิชาเกราะอสูรไปด้วย

“พี่หลิ่ว ยินดีด้วย!”

โอวหยางเชี่ยนเดินเข้ามารับพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มงดงาม โอวหยางฉินผู้มีสีหน้าเฉยชาเป็นนิจด้านหลังร่างนางก็ก็เผยสีหน้ายินดีอย่างห้ามไม่อยู่ออกมาด้วย

หลงเซวียนพ่ายครั้งนี้ เรื่องงานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับนิกายปีศาจลี้ลับก็ได้แต่ยกเลิก ทั้งสองคนย่อมไม่ต้องแต่งงานกับหลงเซวียนแห่งนิกายปีศาจลี้ลับผู้นั้นแล้ว

หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ ให้ทั้งสองคน จากนั้นสายตาจึงมองไปบนร่างโอวหยางเจี้ยนชิวที่อยู่ไม่ไกล แล้วค้อมกายคำนับจากไกลๆ

“ฮ่ะๆ ศิษย์หลานหลิ่วพลังแข็งแกร่งเหนือกว่าที่ข้าคิด ไม่เสียทีเป็นอันดับหนึ่งของงานประตูสวรรค์” หัวหน้าตระกูลโอวหยางหัวเราะพลางก้าวเดินเข้ามาช้าๆ

“หัวหน้าตระกูลล้อเล่นแล้ว พลังตื้นเขินเท่านี้ของข้า ตระกูลโอวหยางส่งศิษย์ระดับแก่นแท้ออกมาสักคนก็แข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างถ่อมตัว

“ศิษย์หลานถ่อมตัวเกินไปแล้ว เอาล่ะ ถ้อยคำตามมารยาทพูดกันเท่านี้ก็พอ ในเมื่อศิษย์หลานหลิ่วชนะการประลองครั้งนี้ ย่อมได้ใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ของตระกูลเราหนึ่งครั้งตามสัญญา แน่นอนก่อหน้านั้นจะต้องทำสัญญาเวทก่อนว่าหลังเสร็จเรื่องจะรับปากทำงานเรื่องหนึ่งให้ตระกูลโอวหยางเราถึงจะได้” หัวหน้าตระกูลโอวหยางมองโอวหยางอิงที่เพิ่งเหาะเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง!” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ยินดียิ่งนัก รีบประสานมือเอ่ยขอบคุณอีกหน

“เรื่องต่อจากนี้มอบให้ผู้อาวุโสอิงจัดการก็แล้วกัน ต้องทำให้ศิษย์หลานหลิ่วพอใจที่สุด” หัวหน้าตระกูลโอวหยางอมยิ้มกำชับอีกหนึ่งประโยค รอบร่างก็เปล่งแสงสีม่วงบินจากเวทีเสวียนหยวนมุ่งไปนอกหุบเขา

สี่คนที่เหลืออยู่บนเวทีเสวียนหยวนมองส่งหัวหน้าตระกูลแล้วนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

โอวหยางอิงมองสำรวจหลิ่วหมิงจากหัวจรดเท้าอยู่หลายครั้ง ทันใดนั้นบนหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาแล้วเอ่ยว่า

“ครั้งก่อนที่พบหน้ากับสหายอินคือเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนหน้า เวลานั้นในสังกัดของเขามีเพียงเสี่ยวอู่เป็นศิษย์สายตรงเพียงคนเดียว คิดไม่ถึงว่าไม่กี่สิบปีนี้เจ้าเฒ่าคนนี้จะรับศิษย์ดีๆ เช่นนี้มาอีกคนหนึ่ง!”

“ผู้อาวุโสอิงชมเกินไปแล้ว ยามมาอาจารย์กำชับไว้ว่าให้มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับผู้อาวุโสอิงแทนเขาด้วย” หลิ่วหมิงรู้ว่าโอวหยางอิงกับอินจิ่วหลิงมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา น้ำเสียงที่เอ่ยวาจาจึงนอบน้อมยิ่งนัก

“อินจิ่วหลิงเจ้าเฒ่าคนนี้อยากเตือนข้าว่าอย่าลืมสัญญาเก่าก่อนล่ะสิ!” โอวหยางอิงแค่นเสียงเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง แต่ในน้ำเสียงไม่มีความชิงชังสักเท่าไร

หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่เอ่ยคำใดต่อ

“กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์เตรียมไว้พร้อมนานแล้ว ไม่รู้ว่าศิษย์หลานหลิ่วคิดจะใช้เมื่อใด?” โอวหยางอิงแค่นเสียงจบก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยถามขึ้นมา

“ข้าต้องการเวลาสองวันปรับสภาพจิตใจ สามวันให้หลังเป็นอย่างไร?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็อ้าปากบอก

แม้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้กับหลงเซวียน แต่ก็เสียพลังเวทพลังกายไปไม่น้อย ก่อนหน้าเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน เขาต้องทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด

“ก็ดี! สามวันให้หลัง เจ้าตรงไปที่ตำหนักหลิงหลงได้เลย เรื่องอื่นข้าจะช่วยเจ้าจัดการให้เรียบร้อยเอง แต่หลังเสร็จเรื่องไม่ว่าทะลวงเข้าระดับแก่นเสมือนได้หรือไม่ก็ต้องดูโชคชะตาของเจ้าเองแล้ว” โอวหยางอิงพยักหน้า

“เรื่องนี้แน่นอน ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งที่ใส่ใจ” หลิ่วหมิงเอ่ยขอบคุณซ้ำ

ต่อจากนั้นโอวหยางอิงถามถึงสภาพระยะนี้ของอินจิ่วหลิงอีกหลายประโยคก็ไม่รั้งอยู่ต่อ ล่องลอยจากไปเช่นเดียวกัน

ทันใดนั้นบนเวทีเสวียนหยวนก็เหลือเพียงหลิ่วหมิงกับสองพี่น้องโอวหยาง

“ขอบคุณพี่หลิ่วยิ่งที่เอาชนะหลงเซวียนผู้นั้น ช่วยพวกเราเลี่ยงเคราะห์ไปได้ครั้งหนึ่ง” โอวหยางเชี่ยนตอนนี้ถึงคำนับอย่างอ้อนช้อยให้หลิ่วหมิงครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจยิ่ง

ตรงขอบเทือกเขาหยกฝัน มียอดเขาอันงดงามที่ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวพิสุทธิ์ตลอดทั้งปีลูกหนึ่ง เมื่อทอดสายตามองไป ทั้งภูเขาล้วนเป็นต้นซงโบราณสูงเสียดฟ้า ทำให้เขาลูกนี้ประหนึ่งพู่กันหยกสีเขียวหยกที่เชื่อมผืนฟ้าและแผ่นดิน นี่ก็คือยอดเขาหิมะหยกหนึ่งในเก้ายอดเขาเก้าหุบเขาของเทือกเขาหยกฝัน

ใต้ยอดเขามีตำหนักศิลาสีเขียวที่สร้างขึ้นตรงไหล่เขา หน้าตำหนักเวลานี้มีเงาคนสีดำร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่ เขาก็คือหลิ่วหมิง

ตำหนักสีเขียวทั้งหลังส่องแสงสีเขียวเรืองๆ ประหนึ่งสลักมาจากหินเขียวก้อนใหญ่มหึมาอย่างยิ่งก้อนหนึ่ง บรรยากาศน่าเกรงขาม!

บนประตูใหญ่ของตำหนักแขวนป้ายแผ่นหนึ่งไว้ บนนั้นเขียนไว้ว่า “ตำหนักหลิงหลง” ด้วยตัวอักษรห้าวหาญทรงพลัง

หลิ่วหมิงยืนอยู่บนบันไดศิลาที่ห่างจากตำหนักหลิงหลงไม่กี่จั้ง เขาแหงนหน้าเล็กน้อยมองตำหนักเบื้องหน้า ในดวงตาฉายแววตาครุ่นคิดอยู่นิดๆ

ตำหนักหลิงหลงแห่งนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามของตระกูลโอวหยาง แต่ตอนเขามา ด้านนอกกลับไม่มีผู้คุ้มกันสักคน

นี่ทำให้หลิ่วหมิงคิดไม่ถึง แล้วก็ลังเลอยู่บ้างว่าหากบุ่มบ่ามเข้าไปจะเหมาะสมหรือไม่

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดว่าจะรออยู่ที่นี่สักพักดีหรือไม่ ประตูใหญ่ของตำหนักก็เปิดออกช้าๆ สตรีสาวในชุดบัณฑิตสีน้ำเงินอ่อนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน

“ท่านคือสหายหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์ใช่หรือไม่? ผู้น้อยรับคำสั่งจากผุ้อาวุโสชิงเฟิงมาเชิญสหายเข้าไปด้านใน” สาวน้อยชุดน้ำเงินคำนับหนหนึ่งแล้วเอ่ยถามอย่างมีมารยาทยิ่งนัก

“ข้าก็คือหลิ่วหมิง รบกวนสหายนำทางแล้ว”

หลิ่วหมิงคำนับกลับหนหนึ่ง เขาเพิ่งเคยเห็นศิษย์ตระกูลโอวหยางที่เทือกเขาหยกฝันสวมเสื้อผ้าสีอื่นนอกจากสีม่วงเป็นครั้งแรกจึงอดไม่ได้มองสาวน้อยชุดสีน้ำเงินเพิ่มอีกหลายที

หลังเดินตามสาวน้อยชุดน้ำเงินเข้าไปในตำหนักหลิงหลง เขาก็ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อด้านในเป็นเพียงห้องโถงที่แลดูตกแต่งเรียบง่ายยิ่งนักแห่งหนึ่ง นอกจากโต๊ะและเก้าอี้ชุดหนึ่งก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก

“สหายหลิ่วโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ ผู้น้อยจะไปเชิญผู้อาวุโสชิงเฟิงออกมา” หลังสาวน้อยชุดน้ำเงินเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งก็หมุนตัวเดินไปยังทางเดินยาวด้านข้างห้องโถงใหญ่

หลิ่วหมิงยักไหล่เดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นสายตาก็เริ่มมองสำรวจรอบด้านห้องโถงใหญ่

หลังผ่านไปราวหนึ่งเค่อเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น

หลิ่วหมิงรู้สึกตัวก็รีบร้อนลุกขึ้นยืน เมื่อเขาหมุนตัวกลับมา ในห้องโถงก็มีผู้เฒ่าที่สวมชุดสีน้ำเงินแบบเดียวกันผู้หนึ่งเดินเข้ามา

คนผู้นี้รูปร่างผอมแกร็น ใบหน้าซูบผอม เส้นผมหนวดเคราล้วนเป็นสีขาวโพลน ใต้คางไว้เคราแพะ ดูแล้วคล้ายกับผู้เฒ่าธรรมดาคนหนึ่ง

“หลิ่วหมิงจากนิกายยอดบริสุทธิ์คารวะผู้อาวุโส” หลิ่วหมิงมองเพียงปราดเดียวก็รีบค้อมกายคำนับพร้อมกับเอ่ยขึ้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา