ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 863

ตอนที่ 863 โอวหยางขุย
ลูกจ้างชุดน้ำเงินเห็นป้ายก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็เก็บซ่อนไปแล้วเอ่ยขึ้นเหมือนไม่มีอะไร

“แม้ป้ายแผ่นนี้ของท่านดูไม่เลว แต่ต้องผ่านตาผู้ดูแลก่อนถึงจะยืนยันได้ว่าราคาเท่าไร”

“รับไปสิ” สายตาของหลิ่วหมิงทอประกายแล้วโบกมือ

หลังลูกจ้างชุดสีน้ำเงินมองหลิ่วหมิงนิ่งนาน สองมือก็ประคองป้ายก้าวเร็วๆ ไปด้านในตัวร้าน

ผ่านไปไม่นานนัก ลูกจ้างชุดน้ำเงินก็วิ่งออกมาอีก เขาส่งป้ายคืนให้หลิ่วหมิงด้วยสีหน้านอบน้อมหลังจากนั้นคำนับเอ่ยขึ้นว่า

“ท่านลูกค้า ผู้ดูแลเชิญท่านด้านในขอรับ”

หลิ่วหมิงเก็บป้ายกลับไปไว้ข้างเอวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า หลังเขาลุกขึ้นยืนพลางกวักมือเรียกซาฉู่เอ๋อร์ก็ส่งสัญญาณให้ลูกจ้างชุดน้ำเงินนำทาง

ไม่นานลูกจ้างชุดน้ำเงินก็พาทั้งสองคนเข้าไปด้านในร้าน มาถึงในห้องแห่งหนึ่งด้านในสุด

ในห้องบุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมที่ท่าทางเหมือนผู้ดูแลคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลาง สายตาจับอยู่บนร่างหลิ่วหมิงจากนั้นมองไปทางซาฉู่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง แววตาแสดงคำถามออกมา

“ไม่เป็นไร แม้คนผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์นิกายเราแต่เป็นสหายคนหนึ่งของข้า” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ

ตอนนี้ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมถึงคำนับอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า

“ฉินอู่ศิษย์สายนอกนิกายยอดบริสุทธิ์คารวะศิษย์พี่หลิ่ว”

ซาฉู่เอ๋อร์ถอดผ้าคลุมบนศีรษะออก ใบหน้าแสดงสีหน้าประหลาดใจ

ที่แท้ร้านแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นที่ใช้ติดต่อกันลับๆ แห่งหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์ในเมืองหนานหมิง!

ในฐานะสี่ยอดนิกายใหญ่แห่งเผ่ามนุษย์ นิกายยอดบริสุทธิ์ดำรงอยู่บนแผ่นดินจงเทียนมาเนิ่นนานไม่รู้เท่าไร ทุกหนทุกแห่งบนแผ่นดินจงเทียนมีฐานที่มั่นทั้งลับทั้งแจ้งอยู่มากมายไว้ใช้รวบรวมส่งต่อข่าวสายนานาประการ

บางครั้งก็จะมีศิษย์ของนิกายตนอย่างหลิ่วหมิงเช่นนี้บังเอิญมาเยือนที่แห่งนี้เพื่อขอความช่วยเหลือหรือถามข่าวบางอย่าง

หลิ่วหมิงรู้มาว่าเมืองมนุษย์แต่ละแห่งใกล้ๆ เขาหยกฝันล้วนมีฐานที่มั่นเช่นร้านแห่งนี้อยู่ไม่น้อยเกินสิบกว่าแห่ง แม้บางแห่งในนั้นถูกเปิดเผยแล้ว แต่ตระกูลโอวหยางก็แกล้งทำเป็นไม่รู้

อย่างไรเรื่องทำนองเดียวกันนี้ นิกายใหญ่และตระกูลใหญ่แต่ละแห่งก็ล้วนกระทำดุจเดียวกัน ตระกูลโอวหยางเองก็ตั้งฐานที่มั่นประเภทเดียวกันนี้อยู่ใกล้ๆ เทือกเขาหมื่นวิญญาณเช่นกัน กลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งล้วนรู้แก่ใจดีจึงไม่เป็นฝ่ายไปเปิดโปง

ในเมื่อตอนนี้ต้องการสืบเรื่องราวของตระกูลโอวหยาง หลิ่วหมิงย่อมนึกถึงที่แห่งนี้

“พี่หลิ่วมาเยือนครานี้ ไม่ทราบศิษย์น้องรับใช้อันใดได้บ้าง?” ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมคำนับครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยใบหน้าจริงจัง

“ข้าอยากถามเกี่ยวกับตระกูลโอวหยางสักหน่อย ข่าวทั้งหมดของคนที่ชื่อโอวหยางหมิง” หลิ่วหมิงเอ่ยถามตรงเข้าประเด็น

“โอวหยางหมิง!”

บุรุษหน้าเหลี่ยมได้ยินก็ตะลึงไปเล็กน้อย เขามองหลิ่วหมิงอย่างค่อนข้างประหลาดใจแล้วจึงเอ่ยต่อ “คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่หลิ่วจะรู้จักคนผู้นี้ด้วย นี่เหนือความคาดหมายของข้าอยู่บ้าง”

หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เงียบไม่เอ่ยวาจา แต่บนหน้าซาฉู่เอ๋อร์กลับปรากฏสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย

“เจ้าไปเฝ้าด้านนอกไว้ก่อน” ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยแล้วโบกมือเอ่ยกับลูกจ้างชุดสีน้ำเงินที่รออยู่ด้านข้าง

ลูกจ้างชุดสีน้ำเงินเข้าใจความหมาย หลังค้อมกายให้ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมกับพวกหลิ่วหมิงครั้งหนึ่งก็ถอยออกไปแล้วปิดประตูห้องเบาๆ

ตอนนี้ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมถึงเดินมาข้างตู้ใบหนึ่งที่อยู่ริมห้อง หลังรื้อค้นด้านในอยู่พักหนึ่งก็เอาหนังสือบางๆ เล่มหนึ่งออกมา

“โอวหยางหมิง ศิษย์สายตรงรุ่นที่ยี่สิบแปดของตระกูลโอวหยาง ร่างกายมีชีพจรจิตวิญญาณพสุธา พรสวรรค์เลิศล้ำ อายุสิบหกปีเข้าสู่ระดับของเหลวจิตวิญญาณ อายุสามสิบปีเข้าสู่ระดับผลึก อายุสามสิบเจ็ดปีได้เข้าไปอยู่ในหอหลินอิงของตระกูลและกลายเป็นศิษย์แกนนำ อายุไม่ถึงร้อยปีก็ผนึกแก่นแท้ แต่ข่าวคราวหลังจากนั้นกลับไม่มีสักเท่าไร คล้ายกับว่าคนผู้นี้หายไปตั้งแต่นั้น ทว่าเมื่อสี่สิบปีก่อน คนผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทั้งตระกูลโอวหยางเหมือนจะเกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับคนผู้นี้ นับจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของคนผู้นี้อีก จนกระทั่งวันนี้เป็นตายยังไม่ทราบ” ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมพลิกมาถึงหน้าหนึ่งในนั้นแล้วอ่านช้าๆ

หลังอ่านจบ ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมก็ส่งหนังสือให้หลิ่วหมิง

บรรทัดแรกของหนังสือใช้หมึกสีเข้มเขียนอักษรตัวโตไว้สามตัวว่าโอวหยางหมิง ด้านล่างใช้ตัวหนังสือขนาดเล็กบันทึกเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับโอวหยางหมิงไว้

หลิ่วหมิงอ่านอย่างละเอียดพักหนึ่ง สิ่งที่บันทึกอยู่บนนั้นล้วนเป็นประวัติชีวิตจำนวนหนึ่งก่อนที่เขาจะบรรลุระดับแก่นแท้ แต่ไม่เห็นจุดที่เกี่ยวพันกับหนานฮวงเลย บรรทัดสุดท้ายเขียนด้วยหมึกสีแดงไว้สี่คำว่าเป็นตายไม่ทราบ

หลิ่วหมิงวางหนังสือลงช้าๆ จากนั้นมองซาฉู่เอ๋อร์ทีหนึ่งพลางส่งกระแสจิตถาม

“สี่สิบปีก่อน หรือว่า?”

“เป็นเช่นที่พี่หลิ่วคาด บิดาออกจากทะเลทรายกุ่ยโม่มาเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนจริงๆ” ซาฉู่เอ๋อร์กัดริมฝีปากสีอิงเถาเบาๆ แล้วส่งกระแสจิตตอบ

ในใจหลิ่วหมิงลอบพยักหน้า ดูท่าหลังโอวหยางหมิงออกจากทะเลทรายกุ่ยโม่คงเคยกลับมาที่เทือกเขาหยกฝันแล้วทำให้เกิดความขัดแย้งในตระกูลโอวหยางเพราะสาเหตุที่ไม่ทราบบางประการ แม้ในหนังสือนี่บันทึกว่าคนผู้นี้เป็นตายไม่ทราบ แต่หลิ่วหมิงคิดว่าการหายตัวไปของโอวหยางหมิงผู้นี้คงหนีไม่พ้นเกี่ยวข้องกับตระกูลโอวหยางแน่นอน ถึงขนาดเป็นไปได้ว่าอาจถูกตระกูลโอวหยางสังหารหรือกักขังไว้

“แค่ข้อมูลเท่านี้ยังไม่พอ ข้าต้องการรู้ข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้ หากรู้ที่อยู่ของคนผู้นี้ได้ยิ่งดี” หลิ่วหมิงวางหนังสือลงแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบกับชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมอีกครั้ง

“บันทึกเกี่ยวกับคนผู้นี้ของพวกเราที่นี่มีเพียงเท่านี้ หากศิษย์พี่ต้องการข้อมูลมากกว่านี้เกรงว่าจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง แล้วระหว่างนั้นก็ต้องมีค่าใช้จ่ายพิเศษอยู่บ้าง…” ชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา