หลิ่วหมิงพักผ่อนอีกวันหนึ่ง หลังจากฟื้นพลังจิตขึ้นมาอยู่ในสภาพพร้อมที่สุด เขาก็สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกรอกพลังเวทเข้าสู่ศิลาหุนเทียนในทะเลจิตวิญญาณ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
หลิ่วหมิงก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในมิติสีเทาขมุกขมัว เบื้องหน้าคือค่ายกลสีทองอ่อนขนาดหนึ่งจั้งกว่า กระบี่สีทองยาวสองฉื่อแปดชุ่นเล่มหนึ่งกำลังลอยนิ่งไม่ขยับอยู่บนค่ายกล
ใต้ม่านแสงสีทองอ่อนใจกลางค่ายกลมีถุงผ้าสีขาวธรรมดาถุงหนึ่ง มันก็คือทรายธารดาราราวหนึ่งในสิบส่วนที่หลิ่วหมิงตั้งใจเตรียมไว้
แสงดาราระยิบระยับเอ่อล้นออกมาจากปากถุงผ้าอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าในค่ายกลเต็มไปด้วยดวงดาราบนทางช้างเผือก
ในเวลานี้เองหลิ่วหมิงพลันสีหน้าเปลี่ยนไป มือหนึ่งตั้งท่าเคล็ดกระบี่ ทันใดนั้นกระบี่ว่างเปล่าด้านบนค่ายกลก็เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ปราณกระบี่สีทองสายหนึ่งซัดลงมาจนเกิดเสียง “ฟึบ” แล้วจมลงไปในม่านแสงสีทอง
จากนั้นภาพแปลกประหลาดก็บังเกิดขึ้น!
เม็ดทรายที่เหมือนดวงดาวสายแล้วสายเล่าถูกปราณกระบี่สีทองห่อหุ้มแล้วม้วนออกมาจากในถุงผ้า เกิดเป็นวังวนขนาดเล็กในค่ายกล หลังมันเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้งก็กลายเป็นกระบี่น้อยที่ประกอบมาจากแสงดาวดวงแล้วดวงเล่าเล่มหนึ่ง
พร้อมกับที่เคล็ดกระบี่ในมือหลิ่วหมิงแปรเปลี่ยนไม่หยุด ทรายธารดาราก็ถูกปราณกระบี่สีทองอ่อนชักนำจนเปลี่ยนรูปร่างไม่หยุด แสงดาวที่ฉายออกมายิ่งสว่างขึ้นทุกที
เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้หลัง ใต้ม่านแสงสีทองอ่อนทรายธารดารากลายเป็นก้อนทรายสีเงินขนาดเท่ากำปั้นส่องแสงสีเงินอ่อนวิบวับ
“น่าจะพอประมาณแล้ว”
หลังจากหลิ่วหมิงพึมพำกับตนเอง มือข้างหนึ่งก็ดีดเข้าใส่ค่ายกลสีทองอ่อนเบาๆ
แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมาทำให้ม่านแสงสีทองบนค่ายกลสั่นไหว จากนั้นแสงสีทองก็ส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่ง แล้วก้อนทรายสีเงินก็ส่งเสียงดัง “ฟึบ” กลายเป็นทรายสีเงินหอบหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าตรงไปยังกระบี่สีทองกลางอากาศ
ในเวลาเดียวกันกระบี่สีทองกลางอากาศก็สั่นไหวแล้วส่งเสียงกังวานใสครั้งแล้วครั้งเล่าออกมา
เสียง “ซ่า” ดังขึ้น เม็ดทรายสีเงินกลายเป็นอสรพิษน้อยสีเงินตัวหนึ่งเลื้อยพันไปบนตัวกระบี่สีทอง ชั่วครู่หลังจากนั้นก็หุ้มกระบี่น้อยสีทองทั้งเล่มไว้ข้างใน
เสียงครวญครางของกระบี่น้อยสีทองค่อยๆ ทุ่มต่ำกังวานขึ้นทุกที
“จับตัว!”
หลิ่วหมิงจิ้มมือข้างหนึ่งเบาๆ พร้อมกันนั้นยันต์สีทองอ่อนขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในปากของเขา มันหมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วเกิดเสียงดัง “ปัง” ประทับลงบนกระบี่น้อยสีทอง
ทันใดนั้นแสงสีเงินที่หุ้มอยู่บนกระบี่บินก็กะพริบวิบวับ จากนั้นเพียงครู่เดียวมันก็กลายเป็นเส้นสีเงินสายแล้วสายเล่าแทรกเข้าไปในยันต์สีทองอ่อน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยรอยยิ้มจาง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวักเบาๆ หลังจากกระบี่สีทองบินวนรอบหนึ่งก็พุ่งกลับมาในมือเขา
เขาสำรวจดูกระบี่ว่างเปล่าเล่มนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง นอกจากยันต์ขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่งที่ส่องแสงสีเงินอยู่เลือนราง บนตัวกระบี่ก็ไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็สะบัดมือ กระบี่สีทองหลุดออกจากมือกลายเป็นรุ้งกระบี่สีทองยาวเจ็ดแปดจั้งพุ่งรวดเร็วไปยังยอดเขาสูงร้อยกว่าจั้งลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลเบื้องหลังร่างเขาทันที
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่น!
แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งทะลวงผ่านยอดเขา ยอดเขากลายเป็นหินมหึมาก้อนแล้วก้อนเล่าถล่มลงมาในทันใด
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ!
แม้เขาจะทำลายยอดเขาลูกหนึ่งเช่นนี้ได้อย่างไม่เป็นปัญหาเช่นกัน หากเขากรอกพลังเวททั้งหมดเข้าไปในกระบี่บินพลังจิตวิญญาณหรือกระตุ้นพลังแห่งแม่เหล็กดารา แต่ครั้งนี้เขาใช้พลังเวทเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นก็ทำลายมันได้อย่างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ ดูท่ากระบี่ว่างเปล่าเล่มนี้หลังผสานทรายธารดาราเข้าไป ไม่ว่าระดับความแหลมคมหรือปราณกระบี่ของมันล้วนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แต่เขาสัมผัสได้เลือนรางว่าทรายธารดาราหนึ่งในสิบส่วนนี้ยังไม่บรรลุถึงขีดสุดของการผสาน
จากนั้นหลิ่วหมิงจึงหลับตาสองข้างลง นึกย้อนไปถึงวิธีใช้พลังใหม่ซึ่งวิชาลับได้เอ่ยถึงไว้ แล้วเคล็ดวิชาในมือก็เริ่มเปลี่ยนไปไม่หยุด
หลังกระบี่สีทองสั่นไหวกลางอากาศครั้งหนึ่ง แสงจิตวิญญาณสีเงินสายแล้วสายเล่าก็ทะลักออกมาจากยันต์สีทองอ่อนบนตัวกระบี่ จากนั้นกลายเป็นเม็ดทรายสีเงินเล็กละเอียดเม็ดแล้วเม็ดเล่าหุ้มกระบี่ทั้งเล่มไว้ด้านในประหนึ่งม่านสีเงินเบาบางผืนหนึ่ง
สายตาของหลิ่วหมิงเย็นชาขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ดีดกลางอากาศไปทางเม็ดทรายสีเงิน ปราณกระบี่รูปเกลียวสายหนึ่งพุ่งออกมาในพริบตา มันกระทบลงบนม่านทรายสีเงินรอบตัวกระบี่บินพร้อมกับเสียงดัง “พรึ่บ”
ม่านทรายสีเงินสั่นไหวเล็กน้อย แสงสีเงินรอบด้านไหลเคลื่อนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นปราณกระบี่รูปเกลียวสายนี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับเป็นตุ๊กตาวัวโคลนที่จมลงในมหาสมุทร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา