“ศิษย์ยังมีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ แม้มีโอสถประลองกระบี่ แต่จะไปตามหากระบี่บินมากมายปานนั้นมาให้กระบี่ประลองได้จากที่ใด”
บุรุษชุดเทาเหมือนจะเดาได้ว่าในมือหลิ่วหมิงมีโอสถประลองกระบี่ แต่อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าผู้อาวุโสจงมอบให้เขา หลิ่วหมิงก็ย่อมไม่พูดอะไรมากปล่อยให้เรื่องนี้คลุมเครือ
“หากคนทั่วไปต้องการใช้โอสถประลองกระบี่ย่อมยากลำบากอย่างยิ่ง ในสมัยโบราณจะใช้วิธีจัดงานกระลองกระบี่ขึ้นทุกช่วงเวลาหนึ่งเพื่อดึงผู้ฝึกฝนกระบี่จำนวนมากให้เข้าร่วมประลองกระบี่ แม้ตอนนี้โอสถประลองกระบี่ขาดการสืบทอดมานาน แต่ผู้ฝึกฝนกระบี่ที่อื่นก็ยังจัดงานเช่นนี้อยู่เป็นระยะเพื่อฝึกปรือกระบี่บินของตน ในหมู่งานเหล่านี้ ‘งานทดสอบกระบี่’ ซึ่งจัดขึ้นทุกสามร้อยปีของตำหนักกระบี่สวรรค์นิกายใหญ่อายุหมื่นปีมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด นิกายเราเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ย่อมไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ ยอดเขากระบี่สวรรค์ครอบครองเขากระบี่หักอยู่ ที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งศิษย์ ผู้อาวุโสและผู้ควบคุมยอดเขารุ่นแล้วรุ่นเล่าของยอดเขาทิ้งกระบี่ที่ไม่ต้องการไว้ ด้วยเหตุนี้ทั่วทั้งภูเขาจึงมีกระบี่บินนับไม่ถ้วน เป็นสถานที่ยอดเยี่ยมในการบรรลุจิตกระบี่และฝึกปรือกระบี่บิน ศิษย์ในยอดเขาเมื่อจะเลื่อนเข้าสู่ระดับแก่นแท้ล้วนมีโอกาสเข้าไปด้านในอย่างไม่มีค่าใช้จ่ายครั้งหนึ่ง แม้เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของยอดเขากระบี่สวรรค์แต่หากอาศัย ‘ป้ายกระบี่หัก’ แผ่นนี้ก็เคลื่อนย้ายจากด้านหลังวิหารหลักของยอดเขากระบี่สวรรค์เข้าไปในเขาแห่งนี้ได้หนึ่งครั้ง หลังจากนั้นหากต้องการเข้าไปอีกต้องเสียแต้มคุณูปการของนิกายสองล้านแต้ม”
บุรุษชุดเทาเอ่ยพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกมาจากในแขนเสื้อของเขา มันหมุนกลางอากาศอยู่รอบหนึ่งก็กลายเป็นป้ายสามเหลี่ยมขนาดเท่ากำปั้นแผ่นหนึ่งร่วงลงในมือของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกวาดสายตาบนป้ายในมือรอบหนึ่งก็เห็นว่าบนผิวของป้ายมีแสงแวววาวสีแดงไหลวนอยู่เลือนราง ด้านบนสลักภาพกระบี่บินขนาดหนึ่งชุ่นกว่าที่ประณีตไม่ธรรมดาไว้เล่มหนึ่ง
“ขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดยิ่ง!”
หลิ่วหมิงยินดียิ่ง เขาเก็บป้ายเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างรวดเร็วแล้วค้อมกายคำนับผู้อาวุโสหานอีกครั้ง
“ข้าขอเตือนเจ้าอีกสักหน่อย ยามกระบี่บินพลังจิตวิญญาณประลองกระบี่กัน หากปราณกระบี่แผ่วเบาลงเพระเสียพลังมากเกินไปก็จำต้องเก็บเข้าไปบำรุงในร่างใหม่อีกครั้ง หากปล่อยให้มันประลองกระบี่ถี่เกินไปจนจิตวิญญาณของตัวกระบี่บินเสียหาย นั่นย่อมได้ไม่คุ้มเสีย สถานการณ์เช่นนี้มิใช่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน” บุรุษชุดเทาเอ่ยเตือนอีกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ศิษย์จะจำคำสอนไว้ให้มั่น” หลิ่วหมิงตอบอย่างนอบน้อมอีกครั้ง
“ข้ายังมีงานอีก หากไม่มีธุระอื่นแล้ว เจ้าไปเถอะ” บุรุษชุดเทาสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยไล่แขก
หลิ่วหมิงคำนับขอบคุณอีกครั้งก็หมุนตัวออกจากโถงของถ้ำที่พักไปทันที เขาบินไปยังถ้ำที่พักของตนเองอย่างรวดเร็ว
“เจ้ากับหลิ่วหมิงคนนี้ดูท่าจะมีความสัมพันธ์ไม่ตื้นเขิน ก่อนหน้านี้ที่เทียนเกอให้เขาเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ เจ้าคงผลักดันอยู่ด้านหลังสินะ” ในถ้ำที่พัก ผู้อาวุโสหานที่ดูเหมือนนั่งหลังตรงนิ่งไม่ขยับอยู่ฉับพลันก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ หนึ่งประโยค
“ศิษย์พี่หาน ข้าเพียงรู้สึกว่าเด็กคนนี้ค่อนข้างน่าสนใจเท่านั้น ไม่ได้ขอให้ศิษย์พี่หานมอบป้ายเข้าเขากระบี่หักให้หลิ่วหมิงคนนั้นเสียหน่อย นี่เป็นความคิดของท่านเอง”
ณ มุมโถงถ้ำที่ผู้อาวุโสหานอยู่มีแสงสีทองสว่างขึ้น ชายหนุ่มผู้สวมชุดสีทองคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาแล้วหัวเราะร่าเอ่ยขึ้น
เขาก็คือจินเทียนชื่อ!
“ข้าเห็นว่าเด็กคนนี้ค่อนข้างมีพรสวรรค์ในศาสตร์กระบี่ กระบี่บินพลังจิตวิญญาณก็ไม่ธรรมดาทีเดียว มีพรสวรรค์น่าส่งเสริมอย่างแท้จริงจึงมอบป้ายให้ไป” ดวงตาทั้งสองข้างของบุรุษชุดเทามีประกายแสงเจิดจ้าไหลวนอยู่ด้านในแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ฮ่ะๆ ไม่ว่าอย่างไรเด็กคนนี้ก็นับว่าได้ประโยชน์ไปไม่น้อย ข้าใคร่รู้ยิ่งนักว่าเขาจะหลอมลูกกลอนกระบี่ออกมาได้จริงหรือไม่ ถึงอย่างไรรวมศิษย์พี่เข้าไปด้วยแล้ว ทั้งนิกายยอดบริสุทธิ์ผู้ฝึกฝนกระบี่ที่มีลูกกลอนกระบี่ก็มีน้อยนิดไม่กี่คน เอาล่ะ ประมุขนิกายเคยบอกว่าเรื่องนั้นใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ข้าก็คงต้องขอตัวไปฝึกฝนบ้างแล้ว พยายามฟื้นพลังเพิ่มขึ้นมาอีกสักนิด เช่นนี้ถึงเวลาจึงจะมั่นใจขึ้นบ้าง” จินเทียนชื่อหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้นอีกหนึ่งประโยคแล้วหายวับไปกับอากาศอีกครั้ง
“ใกล้จะเริ่มต้นแล้วหรือ ไม่รู้ว่าครั้งนี้นิกายยอดบริสุทธิ์ของเราจะมีสักกี่คนที่มีชีวิตรอดออกมาจากที่แห่งนั้นได้” ผู้อาวุโสหานพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่งแล้วหลับตาทั้งสองข้างลงช้าๆ
เวลานี้หลิ่วหมิงกำลังขี่เมฆอยู่ระหว่างทางอย่างกระตือรือร้น เขาย่อมไม่รับรู้บทสนทนาของคนทั้งสอง
สามวันหลังจากนั้นเขาไปตามหาศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์หลายคนที่เคยมีวาสนาพบหน้ากันสองสามหน แล้วสอบถามเรื่องราวของเขากระบี่หักเล็กน้อยอย่างเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนา
น่าเสียดายที่ศิษย์เหล่านี้พลังไม่สูง ด้วยเหตุนี้จึงรู้เกี่ยวกับที่แห่งนี้น้อยนัก รู้เพียงว่าเขากระบี่หักมีอีกชื่อหนึ่งว่าสุสานกระบี่ การจะเข้าไปในนั้นต้องใช้แต้มคุณูปการของนิกายจำนวนมหาศาล อย่างอื่นนอกเหนือจากนี้ก็ไม่รู้แล้ว
หลิ่วหมิงจึงได้แต่วิ่งไปหอนานัปการอีกครั้งเพื่อเรื่องนี้ หลังตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเขากระบี่หักจนแน่ใจแล้วอีกครั้งถึงเริ่มเตรียมตัว
เช้าวันที่สี่เขาตรวจสอบของในแหวนย่อส่วนเล็กน้อยแล้วขี่เมฆตรงไปยังยอดเขากระบี่สวรรค์
หนึ่งชั่วยามให้หลัง เบื้องหน้าประตูของห้องศิลาห้องน้อยแห่งหนึ่งด้านหลังวิหารหลักของยอดเขากระบี่สวรรค์ หลิ่วหมิงผู้สวมชุดดำทั้งร่างกำลังสนทนาอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงที่สวมเครื่องแบบศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์คนหนึ่ง
“ศิษย์พี่หลิ่วหมิงแห่งยอดเขาลั่วโยวนี่เอง ชื่นชมชื่อเสียงมานานแล้ว” ชายหนุ่มผอมสูงประสานมือเอ่ยขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา