“เอ๋?” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็สีหน้าเปลี่ยนไป เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วโคจรพลังเวทบริสุทธิ์ในร่าง จากนั้นตบบนฝักกระบี่เบาๆ หลังจากบังคับให้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณสงบลง ฉับพลันกระทืบเท้าพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ชั่วครู่ให้หลังเขาก็กลายเป็นแสงสีทองเส้นหนึ่งมาถึงบนเวทีแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับยอดเขา
ลำแสงดับหายไป หลิ่วหมิงปรากฏร่างขึ้นอีกครั้งบนเวที ไม่ไกลจากตัวเขาคือป้ายศิลาเก่าแก่เรียบง่ายที่แลดูผ่านเวลามาเนิ่นนานแผ่นหนึ่ง
ติดกันกับป้ายศิลามีกระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่งปักอยู่ในศิลาโผล่ออกมาเพียงหนึ่งฉื่อกว่า ตัวกระบี่ส่องแสงสีทองขมุกขมัว บนคมกระบี่จุดที่ห่างจากด้ามกระบี่ราวหกเจ็ดชุ่นมีรอยบิ่นขนาดเท่าข้อนิ้วหัวแม่มือสองรอย ตรงด้ามกระบี่หายไปค่อนครึ่ง
แต่กระบี่เล่มนี้ดูเหมือนจะไม่เก่านัก ลายมังกรขดบนด้ามกระบี่ยังคงเห็นชัดเจนและยังแผ่จิตกระบี่อันไม่ยอมศิโรราบสายหนึ่งออกมาอยู่เลือนราง
จุดที่แตกต่างจากกระบี่หักมากมายที่อยู่แถบกลางภูเขากับตรงตีนเขาก็คือระยะหลายร้อยจั้งรอบกระบี่เล่มนี้ไม่มีกระบี่หักเล่มอื่นอยู่เลย สูงจากมันขึ้นไปก็มีกระบี่เพียงไม่ถึงร้อยกว่าเล่มเท่านั้น แล้วด้านข้างกระบี่แต่ละเล่มก็ล้วนมีป้ายศิลาแผ่นหนึ่งแทบทั้งสิ้น นี่ย่อมบ่งบอกว่ากระบี่ทุกเล่มบริเวณนี้ล้วนมีเรื่องราวของตนเอง
วันเวลาในอดีตที่ถูกกลบฝังเหล่านี้ท้ายที่สุดก็จะถูกผู้คนลืมเลือน สุดท้ายก็หลงเหลือเพียงป้ายศิลาธรรมดาๆ แผ่นหนึ่งกับซากกระบี่ที่ยังคงทอประกายเล็กน้อยเล่มหนึ่ง
แต่ประกายแสงแผ่วจางที่ก่อตัวเป็นเงาของกระบี่ยามสมบูรณ์ไม่เสียหายเล่มแล้วเล่มเล่าก็ยังคงย้ำเตือนทุกคนที่เข้ามายังที่แห่งนี้ถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตของซากกระบี่เหล่านี้ที่ราวกับว่าเกิดขึ้นเมื่อวาน
“กระบี่เลี่ยหยาง!”
ตอนนี้เองหลิ่วหมิงเพิ่งมองไปที่อักษรสลักบนป้ายศิลาเบื้องหน้าอย่างละเอียดแล้วก็ตะลึงไปในทันใด เขาเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาสังเกตแต่ไกลแล้วว่าจิตกระบี่ที่กระบี่สีทองเล่มนี้แผ่ออกมาแลดูคุ้นเคย ตอนนี้เมื่อเห็นคำว่า ‘เลี่ยหยาง’ อีกก็นึกขึ้นได้ในทันใด กระบี่เล่มนี้ก็คือกระบี่บินสีทองเล่มนั้นที่เงามายาจินเลี่ยหยางใช้ในวังมายานภาหยกตอนนั้น
หลิ่วหมิงเคยประมือกับเงามายาของจินเลี่ยหยางในแดนมายาของห้องว่างเปล่าลึกลับอยู่หลายครั้งจึงมองออกตั้งแต่แวบแรก
ในตอนนี้เองกระบี่น้อยสีทองเบื้องหน้าก็คล้ายสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของหลิ่วหมิง แสงสีทองเปล่งประกายเจิดจ้า ปราณกระบี่รุนแรงล้ำลึกสายแล้วสายเล่าโถมเข้าใส่ใบหน้าของเขา ทำให้ฝักกระบี่ที่เอวเขาคลายตัวออกเอง พร้อมกันนั้นแสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งรวดเร็วออกมา
หลิ่วหมิงตอบสนองเร็วอย่างที่สุด มือข้างหนึ่งฉวยกระบี่ว่างเปล่าแล้วกำไว้ในมือ จากนั้นขยับร่างกายลอยลงไปที่ตีนเขาทันทีอย่างไม่ลังเลสักนิด
เมื่อเขากลับมาถึงตีนเขา เหยียบลงบนแผ่นดินอีกครั้ง ในที่สุดกระบี่ว่างเปล่าในมือก็ค่อยๆ สงบลง
การขึ้นลงเขารอบหนึ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงได้รู้ว่าเขากระบี่หักแห่งนี้ แม้ยิ่งขึ้นไปด้านบนซากกระบี่จะยิ่งน้อย แต่ความแข็งแกร่งของปราณกระบี่ที่แผ่ออกมากลับตรงกันข้าม
อย่างเมื่อครู่นี้เขาไม่ทันได้ใช้โอสถประลองกระบี่ กระบี่เลี่ยหยางเล่มนั้นก็ร่ำๆ จะบินพุ่งออกมาเองแล้ว หากเริ่มแรกไปแตะตรงยอดเขาเข้าจริงๆ อันตรายมากเพียงใดคิดดูก็รู้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ตัดสินใจเริ่มต่อสู้กับกระบี่บินธรรมดาชั้นล่างสุดก่อน ฝึกฝนอย่างค่อยเป็นค่อยไปถึงจะดี หลังกระบี่บินฝึกปรือจนพอประมาณแล้วค่อยพัฒนาไปประลองกับกระบี่ด้านบนตามลำดับ
เขาสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบโอสถประลองกระบี่ระดับสูงที่มีเปลวเพลิงสามสีหุ้มอยู่เม็ดนั้นออกมาจากในแหวนย่อส่วนอย่างไม่รีบร้อน
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นโยนโอสถประลองกระบี่เม็ดนี้ขึ้นไปบนอากาศ ในเวลาเดียวกันมือก็ตั้งท่าเคล็ดกระบี่ กระบี่น้อยสีทองสั่นไหวอยู่ในมือเขาก่อนจะพุ่งรวดเร็วออกไปกลางอากาศ
จากนั้นเคล็ดกระบี่ที่มือเขาก็เปลี่ยนไปทันที หลังจากปราณกระบี่สีทองอ่อนสายแล้วสายเล่าบนกระบี่ว่างเปล่าผนึกรวมกันกลางอากาศก็กลายเป็นลูกบอลแสงสีทองอ่อนลูกหนึ่ง พุ่งเข้าใส่เปลวเพลิงสามสี
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นแผ่วเบา!
เปลวเพลิงสามสีผสานกับปราณกระบี่สีทองอ่อนแล้วระเบิดออก เผยให้เห็นมุกกลมที่ส่องแสงสีเงินขมุกขมัวเม็ดหนึ่งด้านใน หมุนติ้วอยู่กลางอากาศ
ทันใดนั้นบนท้องฟ้าก็มีเปลวเพลิงหลากสีหลายดวงปรากฏขึ้นพร้อมกับที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ สายหนึ่งกระจายฟุ้งออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้นกระบี่บินสารพัดรูปแบบที่ตีนเขากระบี่หักก็ส่งเสียงครางเบาๆ ออกมาอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย ภูเขาทั้งลูกเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
บนกำแพงผาตรงตีนเขาซึ่งอยู่ใกล้หลิ่วหมิงที่สุด กระบี่หักสีเทายาวราวหนึ่งฉื่อกว่าที่บนตัวกระบี่มีรอยบิ่นขนาดเท่ากำปั้นรอยหนึ่งฉับพลันก็เปล่งแสงสีเทาแล้วกลายเป็นแสงรัศมีสีเทายาวสองสามจั้งเส้นหนึ่งพุ่งเข้าใส่มุกกลมสีเงินบนท้องฟ้า
“ไป!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ปากก็ตวาดเบาๆ คำหนึ่งขณะที่มือตั้งท่าเคล็ดกระบี่ทันที กระบี่น้อยสีทองวนกลางอากาศรอบหนึ่งก็พลันพร่าเลือนหายไป
หลังจากกะพริบวูบหนึ่ง ทันใดนั้นแสงสีทองยาวหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้วพุ่งเร็วรี่ผ่านแสงสีเทาไป
“ชิ้ง” เสียงประหนึ่งฉีกโลหะดังขึ้น!
เสียงครวญครางดังขึ้นท่ามกลางแสงสีเทาในทันใด แสงสีเทาอ่อนบนกระบี่น้อยสีเทาสลายไปก่อนมันจะแปลงกลับไปเป็นกระบี่หักหม่นหมองไร้แสงเล่มหนึ่งใหม่อีกครั้ง เสียง “ฉึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อมันบินวนกลับไปปักที่เดิม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา