“ผู้นี้คือ…” ม่านตาหลิ่วหมิงหดเล็กลงทันที
“อ้อ ศิษย์น้องฉิวมาแล้ว พี่หลิ่วอาจไม่รู้จัก คนผู้นี้คือศิษย์ลับคนหนึ่งในนิกาย เป็นผู้นำคณะเดินทางระดับแก่นแท้อีกคนหนึ่งของการเดินทางไปเศษซากของโลกบนครั้งนี้” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นเรียบๆ ประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นก้าวเข้าไปทันที
บุรุษเคราเฟิ้มมาถึงก็ดึงความสนใจของศิษย์ที่เหลือไปในทันใด สายตาของทุกคนพากันมองไป พร้อมกับที่บนใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ยามหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า ‘ศิษย์น้องฉิว’ ในใจเขาก็ตกตะลึง เมื่อเห็นหน้าตาของผู้ที่มาชัดแล้ว เขาก็แน่ใจในสิ่งที่คาดเดาทันที
บุรุษเคราเฟิ้มก็คือฉิวหลงจื่อที่เคยดูแลเขาตอนอยู่ในวิหารวิญญาณกระบี่เมื่อครั้งนั้นนั่นเอง
เทียบกับเมื่อตอนนั้นแล้วปราณบนร่างบุรุษเคราเฟิ้มมหาศาลยิ่งกว่าเดิม จิตกระบี่เลือนรางที่แผ่ออกมาก็ยิ่งน่ากลัว ศิษย์สายในที่นั้นส่วนใหญ่ล้วนถูกจิตกระบี่สายนี้ดึงความสนใจ
ฉิวหลงจื่อเหมือนจะค่อนข้างรู้จักมักคุ้นกับจินเทียนชื่อ หลังทั้งสองคนทักทายกันก็สนทนาเสียงดังประหนึ่งด้านข้างไร้ผู้คน
“พี่หลิ่ว”
เวลานี้เองข้างหูหลิ่วหมิงก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ไม่รู้ว่าสองพี่น้องโอวหยางเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร
“แม่นางโอวหยางทั้งสอง หลายวันนี้คุ้ยเคยกับการพักอยู่ที่นี่หรือยัง?” หลิ่วหมิงหันหน้ามาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ก็พอใช้ได้ แต่คำพูดตามมารยาทคงไม่จำเป็น รออีกเดี๋ยวทางเชื่อมก็จะเปิดออกแล้ว ไม่ทราบพี่หลิ่ววางแผนไว้อย่างไร?” โอวหยางเชี่ยนกำลังจะเอ่ยปากพูด โอวหยางฉินกลับชิงพูดก่อนด้วยวาจาแสบร้อน
“ข้ารู้เกี่ยวกับเศษซากของโลกบนน้อยนัก ถึงเวลาคงได้แต่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ยามเคลื่อนย้าย ทั้งสองท่านดีที่สุดอย่าอยู่ห่างจากข้า หากพบอันตรายข้าจะคิดหาวิธีปกป้องความปลอดภัยของทั้งสองท่านเอง” หลิ่วหมิงคุ้นชินกับวิธีการพูดของสตรีนางนี้แล้วจึงยิ้มน้อยๆ ไม่โกรธ
“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนพี่หลิ่วแล้ว” โอวหยางเชี่ยนฟังแล้วก็เอ่ยขึ้นช้าๆ เมื่ออยู่ในศิษย์กลุ่มนี้ของนิกายยอดบริสุทธิ์พลังของพวกนางสองคนแทบจะอยู่ต่ำสุดจึงได้แต่วางแผนไปทีละก้าวเท่านั้น
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อก็เดินเคียงไหล่กันเข้ามา ทั้งสองคนล้วนพลังระดับแก่นแท้ เมื่ออยู่ด้านในวิหารจึงให้ความรู้สึกโดดเด่นออกจากกลุ่ม
โอวหยางเชี่ยนเหมือนจะไม่อยากสานสัมพันธ์กับคนของนิกายยอดบริสุทธิ์มากเกินไป เมื่อเห็นเช่นนี้จึงดึงโอวหยางฉินถอยไปด้านข้าง
“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าจริงๆ ด้วย ไม่เลว! ไม่เลว!” สายตาของฉิวหลงจื่อจับจ้องอยู่บนร่างของหลิ่วหมิง หลังจากสายตาทอประกายวูบหนึ่งก็เอ่ยว่า ‘ไม่เลว’ ออกมาติดกันสองคำ
“ศิษย์พี่ฉิว นับแต่จากกันครั้งนั้น ไม่ได้พบกันนานจริงๆ” หลิ่วหมิงประสานมือ คำนับกลับอย่างนอบน้อม
“อะไรกัน ทั้งสองคนรู้จักกันหรือ?” จินเทียนชื่อมองหลิ่วหมิงอย่างประหลาดใจ แล้วอ้าปากเอ่ยถาม
“ฮ่าๆ! นี่มีสิ่งใดประหลาด ก่อนหน้านี้ข้าเคยมีวาสนาพบหน้ากับศิษย์น้องหลิ่วที่วิหารวิญญาณกระบี่ครั้งหนึ่ง ยามนั้นรู้สึกว่าศิษย์น้องไม่ใช่คนธรรมดา ระยะนี้ศิษย์น้องหลิ่วชื่อเสียงโด่งดังจนเล่าลือไปถึงวังเจดีย์ บ่งบอกว่าข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ” ฉิวหลงจื่อยังคงทำท่าสบายๆ หัวเราะลั่นราวกับด้านข้างไม่มีคน
หลิ่วหมิง จินเทียนชื่อ ฉิวหลงจื่อ ทั้งสามคนเป็นผู้ที่สะดุดตาที่สุดในที่แห่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อทั้งสามคนมารวมตัวกันแล้ว สายตาของคนในวิหารมากกว่าเก้าส่วนล้วนรวมกันอยู่ที่นี่
หลัวเทียนเฉิงยืนอยู่ตรงมุมวิหาร เขาเห็นภาพหลิ่วหมิงกับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองคนสนทนากันอย่างรื่นเริงก็แค่นเสียงหยันคำหนึ่งแล้วหันหน้าหนี
สายตาของเวินเจิงทอประกายเล็กน้อย หยุดอยู่บนร่างหลิ่วหมิงพักหนึ่งก่อนจะผละออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้เองเสียงระฆังดังสนั่นครั้งหนึ่งก็ลอยมาจากนอกวิหาร เสียงดังอื้ออึงทะลวงแก้วหู สะเทือนจนใต้เท้าทุกคนสั่นไหวแผ่วเบา
ทุกคนที่นั่นฉับพลันหยุดสนทนาแล้วพากันเอี้ยวศีรษะมองไปนอกประตูวิหาร
ครู่ต่อมาบุรุษวัยกลางคนผู้สวมกวานหยกบนศีรษะ ร่างกายสวมชุดสีเหลือง บรรยากาศไม่ธรรมดาคนหนึ่งก็ก้าวเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า เขาก็คือเทียนเกอเจินเหรินประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง
แม้เขาจะเก็บงำกลิ่นอายจนแทบสัมผัสไม่ได้ แต่ยังคงมีความน่าเกรงขามที่บอกไม่ถูกสายหนึ่งท่วมท้นทั้งวิหาร
ด้านหลังเขามีบุรุษวัยกลางคนชุดเทาคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เขาก็คือผู้อาวุโสแซ่หานผู้นั้น
“คารวะท่านประมุข ผู้อาวุโสหาน!” ผู้คนที่นั่นพากันประสานมือคำนับพร้อมขานเรียกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมโดยมีจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่ออยู่ด้านหน้า
“ดีมาก คนมาพร้อมแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่พร่ำพูดอะไรที่นี่อีก หลังจากนี้อีกสักพัก นิกายจะเปิดทางเชื่อมสู่เศษซากของโลกบนอย่างเป็นทางการเพื่อส่งพวกเจ้าเข้าไปในเศษซากของโลกบน แต่ก่อนหน้านั้นมีหลายเรื่องต้องกำชับพวกเจ้าให้ชัดเจน” เทียนเกอเจินเหรินกวาดสายตาวนรอบหนึ่งแล้วเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าไป
ศิษย์ที่นั่นล้วนสีหน้าเคร่งขรึม ตั้งใจฟังอย่างนิ่งสงบ
“ทุกสามหมื่นปี พลังที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์กับซากปรักหักพังจะอ่อนแอลงอย่างมาก ดังนั้นนิกายแต่ละแห่งจึงมีโอกาสยืมพลังจากอาวุธเวทฝืนเปิดทางเชื่อมขึ้น เวลาที่พลังอ่อนแอลงแต่ละครั้งจะกินเวลาเพียงหนึ่งปี ดังนั้นหลังจากพวกเจ้าเข้าไปในเศษซากของโลกบนแล้วจะต้องจดจำสถานที่ตั้งต้นยามเคลื่อนย้ายไปถึงให้แม่น ภายในเวลาหนึ่งปีต้องกลับมายังที่เดิม นิกายจะเปิดทางเชื่อมขึ้นอีกครั้งเพื่อรับพวกเจ้ากลับมา หากกลับมาไม่ทัน ผลลัพธ์ที่ตามมาพวกเจ้าคงรู้ชัด” เทียนเกอเจินเหรินเอ่ยเรียบๆ
เสียงของเทียนเกอเจินเหรินไม่ดังแต่ชัดเจนอย่างยิ่ง มันดังตรงเข้าไปในหูของทุกคนที่นั่นจนเกิดเสียงดังวิ้ง
เวลานี้คนทั้งหมดในที่แห่งนั้นรวมถึงหลิ่วหมิงล้วนตั้งใจฟังคำพูดของเทียนเกอเจินเหรินด้วยกลัวว่าจะพลาดสักคำสักประโยคไป อย่างไรเรื่องเหล่านี้ก็ล้วนเกี่ยวพันกับชีวิตของตน
เทียนเกอเจินเหรินเห็นเช่นนี้สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา