ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 898

สรุปบท ตอนที่ 898 ดินแดนแห่งซากปรักหักพัง: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 898 ดินแดนแห่งซากปรักหักพัง จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 898 ดินแดนแห่งซากปรักหักพัง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 898 ดินแดนแห่งซากปรักหักพัง
เทียนเกอเจินเหรินกับชายวัยกลางคนชุดเทาด้านหลังเขาขยับตัวทันที ครู่ต่อมาพวกเขาต่างก็ยืนอยู่บนเสาศิลาสีน้ำเงินสองต้นที่เหลือ

เทียนเกอเจินเหรินใช้เคล็ดวิชาด้วยมือข้างเดียว ปากท่องมนตร์งึมงำฟังยากหลายประโยค จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นยิงแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งออกไป

ในเวลาเดียวกันนั้นผู้อาวุโสสูงสุดที่เหลืออีกสามคนก็เคลื่อนไหวเหมือนกัน เคล็ดวิชาสีน้ำเงินสี่สายร่วงลงสู่ค่ายกลบนพื้นพร้อมกัน

ค่ายกลมหึมาบนพื้นฉับพลันส่งเสียงดังวิ้ง ยันต์บนเสาศิลาสีน้ำเงินสี่ต้นค่อยๆ ส่องสว่าง แสงรัศมีค่อยๆ ไหลจากเสาศิลาสีน้ำเงินเข้าไปในค่ายกลบนพื้นประหนึ่งน้ำไหล

ชั่วขณะหนึ่งแสงเรืองรองสีเขียวครามผืนใหญ่ก็ทะลักออกมาจากใจกลางค่ายกล ทั้งยังแผ่เต็มผิวค่ายกลอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพียงครู่หนึ่งก็ก่อตัวเป็นวงแสงรูปวงกลมซ้อนกันสี่วงด้านใน

“พวกเจ้ารีบมายืนในวงแสง ศิษย์ระดับผลึกยืนวงละสิบคน จินเทียนชื่อ ฉิวหลงจื่อพวกเจ้าสองคนยืนคนละวง” เทียนเกอเจินเหรินยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมาแล้วเอ่ยด้วยเสียงเร่งรีบ

ศิษย์ทั้งหลายได้ยินก็รีบขยับตัว

จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อเหาะเข้าไปในค่ายกลเป็นคนแรก ต่างคนต่างยืนอยู่ในวงแสงวงหนึ่ง

ศิษย์ระดับผลึกที่เหลือรวมกับพี่น้องโอวหยางมียี่สิบคนพอดี จึงแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเล็กแยกย้ายกันไปยืนในวงแสงสองวงที่เหลือ

หลังจากพี่น้องโอวหยางร่อนลงหลังร่างหลิ่วหมิง หลิ่วหมิงก็คล้ายรับรู้จึงหันกลับไปยิ้มให้เล็กน้อย

วงแสงขอบเขตไม่ใหญ่ ทั้งสามคนแทบจะยืนหน้าหลังแนบชิดกัน

ใบหน้าสวยของโอวหยางเชี่ยนแดงระเรื่อ นางหลุบสายตาลง ส่วนแววตาของโอวหยางฉินก็ดูเหมือนจะขัดเขินอยู่บ้าง

เทียนเกอเจินเหรินเห็นคนทั้งหมดยืนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วก็สะบัดมือขวาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยันต์สีแดงอ่อนสี่แผ่นลอยออกมาจากในแขนเสื้อ ร่วงลงบนวงแสงทั้งสี่วง

เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!

ยันต์สีแดงอ่อนพลันส่องแสงสีแดงแสบตาแถบหนึ่งออกมาล้อมวงแสงที่ตรงกันด้านล่างไว้ข้างใน ทันใดนั้นพวกหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ากลายเป็นสีแดง พวกเขาถูกหุ้มไว้ในลูกบอลสีแดงอ่อนลูกหนึ่ง

จากนั้นผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ทั้งหลายรวมถึงเทียนเกอเจินเหรินก็สะบัดแขนทั้งสองข้าง ทำท่าเคล็ดวิชาประหลาดท่าแล้วท่าเล่าออกมาอย่างเร็วไว เคล็ดวิชาหลายสายทยอยจมลงสู่ค่ายกลเบื้องล่าง

พื้นดินฉับพลันสั่นไหวแผ่วเบา แสงเรืองรองในค่ายกลเริ่มปั่นป่วน

“ฮ่า!” เทียนเกอเจินเหรินเบิกสองตากว้าง ตะโกนเสียงดัง

หลิ่วหมิงร่างกายแข็งเกร็ง รู้สึกได้ว่าท่ามกลางความมืดสลัวเหมือนจะมีพลังมหาศาลเหนือจินตนาการสายหนึ่งกดทับลงบนร่างทำให้เขาไม่อาจกระดิกได้แม้แต่นิด นอกจากนี้จิตสัมผัสก็คล้ายจะถูกขังไว้ในทะเลจิตรับรู้อย่างแน่นหนา

พลังสายนี้ใหญ่โตมโหฬารกว่าพลังของผู้ฝึกฝนคนใดที่เขาเคยเห็น แม้เป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อย่างขุยตี้แห่งหนานฮวง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังสายนี้ก็เหมือนจะรู้สึกเล็กกระจ้อยร่อย

“ครืน” ค่ายกลเคลื่อนย้ายบนพื้นดินถูกพลังสายนี้กระตุ้น

เสาแสงสีน้ำเงินหนาเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างสิบกว่าจั้งต้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือวิหารบนยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างกะทันหัน

เสาแสงพุ่งขึ้นฟ้าแล้วครอบวิหารแถบใหญ่ไว้ข้างใน ประหนึ่งเสายักษ์ค้ำฟ้าพุ่งตรงสู่สวรรค์

ด้านในเสาแสงปรากฏเงาเลือนรางของเตาหลอมสำริดยักษ์ใบหนึ่ง หลังจากด้านในเตาหลอมนำดวงแสงสีแดงอ่อนสี่ดวงออกมา เงาเตาหลอมยักษ์ก็หายวับไปอย่างรวดเร็วดั่งห่านป่าผวาบิน

ดวงแสงสี่ดวงลอยตรงขึ้นสู่เบื้องบนท่ามกลางสายตาของศิษย์ทั้งหลายรอบด้านด้วยความเร็วที่เชื่องช้าอย่างยิ่ง อีกทั้งทุกระยะที่ลอยขึ้นไป ความเร็วยังช้าลงอีกเล็กน้อย

ท้องนภาเหนือยอดเขาหลักเวลานี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ชั้นเมฆบนท้องนภาเริ่มหมุนวนเร็วรี่ก่อตัวเป็นวังวนสีดำที่เคลื่อนหมุนอย่างรวดเร็วลูกหนึ่ง เมฆสีขาวแถบแล้วแถบเล่าสี่ด้านแปดทิศต่างถูกดูดเข้าไปปั่นอยู่ด้านใน

เสียงอสนีบาตคำรามดังกึกก้อง!

ด้านในวังวนมีอสนีบาตรูปอสรพิษสีม่วงทะลวงผ่านออกมาเป็นระยะไม่หยุด ครอบยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งลูกไว้ข้างใต้

เพียงครู่เดียวแสงสว่างรอบด้านก็มืดหม่น ราวกับทิวาแปรเปลี่ยนเป็นราตรีในพริบตา

ก้อนแสงสีแดงหม่นสี่ดวงที่ถูกเสาแสงสีขาวล้อมไว้ด้านในเคลื่อนไหวช้าลงทุกที แลดูเหมือนลอยขึ้นไปต่อด้วยความยากลำบาก

บนลานหินเขียวของยอดเขาหลัก ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์เกือบพันคนแหงนหน้ามองภาพอันอลังการยากจะจินตนาการเบื้องหน้านี้ แต่ละคนอ้าปากกว้าง ตะลึงจนไม่อาจตะลึงเพิ่มขึ้นได้อีก

ภาพนี้คงอยู่เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป ในที่สุดดวงแสงสีแดงอ่อนสี่ดวงก็บรรลุถึงใจกลางวังวนสีดำสนิทและจมลงไปด้านในทีละนิดท่ามกลางอสนีบาตสีม่วงที่ฉายวูบวาบ

เรียกได้ว่าภาพในยามนี้งดงามอย่างประหลาด ดั่งดวงตะวันเจิดจ้าสี่ดวงถูกความมืดกลืนกิน สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของศิษย์สายในทุกคนที่อยู่ที่นั่น

นับจากนี้เป็นเวลานาน ยามที่คนเหล่านี้พูดถึงภาพในวันนี้ พวกเขาล้วนตื่นเต้นอย่างยิ่งคุยฟุ้งกันได้ครึ่งค่อนวัน

นี่ไม่ใช่ว่าเขาเป็นห่วงสหายร่วมสำนัก แต่เพิ่งเข้ามาในต่างโลกที่ไม่คุ้นคนไม่คุ้นที่เช่นนี้ หากเริ่มแรกก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันย่อมไม่ใช่ลางดีอันใด

“ศิษย์น้องหลิ่วฟื้นเป็นปกติได้รวดเร็วเช่นนี้กลับเหนือความคาดหมายของข้า เห็นถึงความแข็งแกร่งของกายเนื้อและพลังปราณ” จินเทียนชื่อขยำยันต์โปร่งใสแผ่นนั้นในมือ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

“ความสามารถเพียงเท่านี้ของข้าไม่ควรค่าเอ่ยถึง แค่เพราะฝึกฝนพลังควบคู่กับการฝึกฝนร่างกายจึงฝึกปรือร่างกายมาได้ค่อนข้างแข็งแกร่งเท่านั้น ศิษย์พี่จินไม่ใช่ตื่นขึ้นมาก่อนข้าตั้งนานหรือ แล้วสิ่งนี้คือ…” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ จากนั้นสายตาก็เปล่งประกายวูบหนึ่งจับจ้องอยู่บนยันต์ในมือจินเทียนชื่อ

แม้สีสันบนยันต์ในมือของจินเทียนชื่อจะเปลี่ยนไปมาก แต่มองปราดเดียวก็ยังคงมองออกว่ามันคือยันต์สีแดงอ่อนแผ่นนั้นที่เทียนเกอเจินเหรินใช้ก่อนหน้านี้

เวลานี้พลังงานในยันต์ถูกใช้หมดเกลี้ยงนานแล้วมันจึงกลายเป็นสีใส แลดูบอบบางยิ่งนักราวกับว่าใช้แรงเพียงนิดเดียวก็ขยี้ให้กลายเป็นชิ้นๆ ได้

“ของสิ่งนี้มีชื่อว่ายันต์สลายเขตแดน เป็นยันต์สำหรับรวบรวมพลังจิตวิญญาณเพื่อสลายเขตแดนชนิดหนึ่ง” จินเทียนชื่อออกแรงที่มือเพียงเล็กน้อย ยันต์ก็ส่งเสียงดังเปรี๊ยะกลายเป็นฝุ่นผงแวววาวสายหนึ่ง

“ยันต์สลายเขตแดนหรือ? ชื่อนี้ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ศิษย์พี่จินช่างเป็นผู้รอบรู้จริงๆ” หลิ่วหมิงละสายตาไปแล้วเอ่ยขึ้น

“ฮ่าๆ ข้าก็แค่เคยอ่านตำรามามากก็เท่านั้น ยันต์สลายเขตแดนนี่คือยันต์ที่จะใช้เฉพาะยามเปิดมิติระหว่างโลกสองใบที่ระยะทางห่างไกลกันอย่างที่สุด ตัวอย่างเช่นการฝืนเปิดทางเชื่อมระหว่างแผ่นดินจงเทียนกับเศษซากของโลกบนแล้วเคลื่อนย้ายพวกเรามาที่นี่ครั้งนี้ของนิกาย อาศัยเพียงอาวุธเวทรวมถึงพลังของค่ายกลยังไม่พอ” จินเทียนชื่อเอ่ยเรียบๆ

“การฝ่ากำแพงระหว่างโลกของโลกสองใบต้องใช้พลังงานมากอย่างที่สุด ที่จริงแต่ละสำนักแต่ละนิกายบนแผ่นดินจงเทียนเริ่มเตรียมตัวเพื่อการเดินทางมายังเศษซากของโลกบนครั้งนี้มาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว นอกจากวัตถุดิบล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน ยังต้องให้สมบัติพิทักษ์สำนักของแต่ละนิกายดูดซับพลังของเขตแดนที่กระจายออกมาจากเศษซากของโลกบนผสานเข้าไปถึงจะสร้างยันต์สลายเขตแดนนี้ออกมาได้ สำหรับนิกายใหญ่แต่ละแห่ง ยันต์สลายเขตแดนหนึ่งแผ่นเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับจำนวนคนที่จะเข้ามาในเศษซากของโลกบน หนึ่งแผ่นเคลื่อนย้ายผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ได้หนึ่งคนหรือผู้ฝึกฝนระดับผลึกได้สิบคน นิกายยอดบริสุทธิ์ใช้เวลานับไม่ถ้วนจวบจนวันนี้เพิ่งสร้างยันต์สลายเขตแดนออกมาได้เพียงสี่แผ่นเท่านั้น” จินเทียนชื่อท่าทางปลงอยู่บ้าง

“ดังนั้นนิกายยอดบริสุทธิ์จึงมีจำนวนคนที่เข้ามาเท่ากับยันต์สี่…” ในใจหลิ่วหมิงพลันเข้าใจ

ทั้งสองคนสนทนากันต่อจากนั้นอีกหลายประโยค จนในที่สุดฉิวหลงจื่อก็ลุกขึ้นมายืนบนพื้น

“พี่จินคงไม่ต้องพูดถึง แต่คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องหลิ่วจะได้สติเร็วยิ่งกว่าข้า ทำให้ข้าผู้เป็นศิษย์พี่อับอายแล้วจริงๆ!” ฉิวหลงจื่อเห็นหลิ่วหมิงกับจินเทียนชื่อยืนกันอยู่สองคน แรกสุดก็ตกตะลึงแต่หลังจากนั้นก็หัวเราะลั่นอย่างไม่นำพา

ผ่านไปไม่นานนัก ศิษย์ที่พลังโดดเด่นกว่าผู้อื่นเช่นหลัวเทียนเฉิง เวินเจิงก็ทยอยฟื้นคืนสติ

เมื่อรอจนทุกคนฟื้นคืนสติหมดก็เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วยามให้หลัง ระหว่างนั้นมีคนไม่น้อยทะยานร่างเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า บ้างก็เดินไปรอบๆ พากันสำรวจสภาพแวดล้อมรอบด้าน

สายลมแผ่วเบาระลอกแล้วระลอกเล่าโชยพัดผ่านดินแดนรกร้าง ม้วนตลบไหลผ่านข้างกายทุกคนไป

แม้ที่แห่งนี้จะรกร้างวังเวง แต่พลังปราณแห่งฟ้าดินรอบด้านกลับเข้มข้นอย่างที่สุด เทียบกับถ้ำที่พักที่ดีที่สุดบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณยังเข้มข้นกว่าเป็นเท่าตัว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา