ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 899

สรุปบท ตอนที่ 899 กลุ่มผู้แข็งแกร่งปรากฏตัว: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

ตอน ตอนที่ 899 กลุ่มผู้แข็งแกร่งปรากฏตัว จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 899 กลุ่มผู้แข็งแกร่งปรากฏตัว คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 899 กลุ่มผู้แข็งแกร่งปรากฏตัว
“เอ๋!”

ทันใดนั้นชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งก็อุทานเสียงเบา ร่างกายขยับวูบเดียวก็ร่อนลงบนเนินทรายแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากมือไปทันที

เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เขาโจมตีเนินทรายจนเป็นผุยผง ก้อนศิลาสีดำขลับขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ก้อนหนึ่งก็กลิ้งร่วงลงมา ด้านในก้อนศิลาคล้ายจะมีเพลิงภูตสีเขียวหยกแผ่ปราณหยินเลือนรางออกมาอยู่

“หยกอนธการ!” มีคนเอ่ยนามของศิลาสีดำขลับก้อนนี้ออกมาในทันที

หยกอนธการเป็นหินแร่จิตวิญญาณธาตุหยินระดับสุดยอดชนิดหนึ่ง มันเป็นวัตถุดิบระดับสูงสำหรับหลอมต้นแบบอาวุธเวทของสายวิญญาณและสายปีศาจ ก้อนใหญ่ขนาดนี้หากนำไปขายที่ตลาดคงขายได้อย่างต่ำหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ เรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าที่ราคาไม่ธรรมดา

ชายหนุ่มชุดขาวฉีกยิ้มแล้วเก็บหยกอนธการขึ้นมาอย่างเร็วไว

“ไม่เสียทีที่เป็นเศษซากของโลกบน…”

คนไม่น้อยมองไปยังคนโชคดีผู้นี้ด้วยสายตาอิจฉา พร้อมกันนั้นในใจก็มีเพลิงร้อนแรงลุกโชน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องเมื่อครู่เตือนสติพวกเขาว่ามีโชควาสนาและสมบัตินับไม่ถ้วนซ่อนอยู่ในซากปรักหักพังกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตผืนนี้ตรงหน้า รอคอยให้พวกเขาไปค้นพบ

หลิ่วหมิงมองสหายร่วมนิกายที่ตื่นเต้นอยู่รอบด้าน แต่ตัวเขากลับมีสีหน้าเรียบเฉย

“ศิษย์น้องทุกท่าน พวกเราสองคนรับคำสั่งจากเทียนเกอเจินเหรินมาเป็นผู้นำคณะเดินทางในเศษซากของโลกบนครั้งนี้ ดังนั้นการเคลื่อนไหวต่อจากนี้พวกเราจะเป็นผู้ตัดสินใจ หวังว่าทุกคนจะเชื่อฟัง แน่นอนหากมีคนยืนยันจะเคลื่อนไหวตามลำพัง ข้าก็จะไม่ขัดขวางสักนิด แต่ผู้แซ่จินขอเตือนทุกคนสักประโยค ที่นี่ไม่เหมือนสถานที่อันตรายในแดนลึกลับแห่งใดบนแผ่นดินจงเทียน ไม่เพียงมีสมบัติแห่งฟ้าดินที่สูญหายจากโลกภายนอกมานานซ่อนอยู่มากมาย แต่ยังมีอันตรายนับไม่ถ้วนคงอยู่ตามด้วย” เสียงเย็นชาของจินเทียนชื่อดังขึ้นในหูของทุกคน

ศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ด้านล่างได้ฟังย่อมหวาดผวาอยู่ในใจ นึกย้อนไปถึงคำเตือนที่อาจารย์ทุกคนเอ่ยเตือนก่อนออกเดินทาง เปลวเพลิงร้อนแรงในดวงตาจึงค่อยๆ มอดดับ ดวงตากลับคืนเป็นปกติขึ้นเล็กน้อย

จินเทียนชื่อเห็นสีหน้าของทุกคน ในใจก็โล่งอกขึ้นเล็กน้อย มือข้างหนึ่งพลิกเรียกแผนที่ซึ่งนิกายยอดบริสุทธิ์แจกให้ออกมา แล้วเอ่ยว่า

“ตอนนี้สิ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือจำตำแหน่งที่พวกเราอยู่เวลานี้ไว้ ดีที่สุดทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ หนึ่งปีให้หลังหวังว่าทุกคนที่นี่จะยังมาปรากฏตัวที่นี่อีกครั้งได้”

หลิ่วหมิงได้ยินก็หยิบแผนที่ออกมาเทียบกับภูมิประเทศรอบด้านแล้วตัดสินอย่างรวดเร็วว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นขอบของทะเลทรายเวิ้งว้างแห่งหนึ่งที่ระบุไว้บนแผนที่

หลังจากเขาทำเครื่องหมายบนแผนที่แล้วก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสะบัดมือ แสงสีน้ำเงินเส้นหนึ่งบินออกจากมือมุดลงไปใต้ดิน

นี่คือยันต์พิเศษชนิดหนึ่งที่เขาซื้อมาจากตลาดชื่อว่ายันต์เชื่อมจิตวิญญาณห้าทิศ

ยันต์นี้คือยันต์สนองตอบชนิดหนึ่ง แบ่งเป็นสองส่วนคือยันต์หยินกับหยาง โดยทั่วไปผู้ฝึกฝนจะใช้ยามค้นหาเส้นทางในแดนลึกลับเขาวงกต เมื่อคนสองคนต่างคนพกไว้กับตัวก็จะสัมผัสตำแหน่งที่อีกฝ่ายอยู่ได้จากระยะไกลผ่านยันต์ของแต่ละคน

หลิ่วหมิงย่อมใช้คุณลักษณะของยันต์ชนิดนี้ช่วยตนเองทำเครื่องหมายไว้

หลังจากคนทั้งหลายด้านข้างเห็นการกระทำของหลิ่วหมิงก็พากันใช้วิธีการของแต่ละคนทิ้งเครื่องหมายไว้ที่นี่ด้วย

หลังจากหลิ่วหมิงทำทุกสิ่งนี้เสร็จ สายตาเขาก็กวาดมองแล้วเดินก้าวช้าๆ ไปอยู่ข้างกายสองพี่น้องโอวหยาง เอ่ยเสียงเบากับสตรีทั้งสองนางว่า

“ทั้งสองท่านต่อจากนี้วางแผนไว้อย่างไร จะร่วมทางกับพวกเราต่อหรือไม่? หากคิดจะเคลื่อนไหวตามลำพัง เกรงว่าข้าคงไม่อาจปกป้องความปลอดภัยของทั้งสองท่านตามที่รับปากไว้ได้”

เวลานี้เพิ่งเข้ามาในดินแดนที่ไม่รู้จัก เคลื่อนไหวร่วมกันกับผู้คนในนิกายย่อมเหมาะสมกว่า เขายังไม่อวดดีถึงขั้นเตรียมเคลื่อนไหวตามลำพังตั้งแต่เริ่มแรก

“พวกเราพี่น้องไม่มีแผน เคลื่อนไหวด้วยกันกับนิกายท่านก็ดี” โอวหยางเชี่ยนหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น ส่วนโอวหยางฉินฟังแล้วก็พยักหน้า

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี”

หลิ่วหมิงพยักหน้า ฉับพลันก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากอีกครั้ง

“ใช่แล้ว แผนที่ซึ่งนิกายยอดบริสุทธิ์แจกให้พวกเราเหล่าศิษย์ พวกเจ้าน่าจะไม่มีกระมัง พื้นที่เศษซากของโลกบนใหญ่ยิ่งนัก ไม่มีแผนที่เกรงว่าจะหลงทางได้ง่าย”

“เรื่องนี้พี่หลิ่วไม่ต้องกังวล พวกเราได้แผนที่ฉบับหนึ่งมาจากมือหัวหน้าตระกูลก่อนหน้านี้แล้ว” โอวหยางเชี่ยนพูดพลางหยิบแผนที่ฉบับหนึ่งออกมา แลดูคล้ายของที่อยู่ในมือของหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงพยักหน้า

ในเมื่อตระกูลโอวหยางส่งสตรีทั้งสองมายังเศษซากของโลกบน ของที่จำเป็นย่อมตระเตรียมไว้แล้ว ไม่แน่อาจจะมากกว่าข้าวของบนตัวเขาอีก

หลงเหยียนเฟยที่ยืนอยู่ไม่ไกลเห็นภาพที่หลิ่วหมิงสนทนากับพี่น้องโอวหยางอย่างสนิทสนม คิ้วงามก็ขมวดขึ้น สายตาเปล่งประกายเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“เวลามีน้อย ในเมื่อทุกคนล้วนเตรียมตัวพร้อมแล้ว พวกเราก็เริ่มเดินทางกันได้”

หลังจินเทียนชื่อสั่งคำนี้ ทุกคนก็เลือกทิศทางหนึ่งแล้วเริ่มการเดินทางค้นหาสมบัติครั้งนี้อย่างเป็นทางการ

ในเวลาเดียวกันนั้นห่างจากพวกหลิ่วหมิงไปหลายล้านกว่าลี้ ในซากปรักหักพังมากมายของตำหนักขนาดมหึมาที่ผุผังมากแห่งหนึ่ง แสงสีขาวแสบตาสายหนึ่งก็ส่องสว่างขึ้นฉับพลัน ตามด้วยค่ายกลมหึมาขนาดหลายจั้งอันหนึ่งก็ปรากฏออกมาอย่างเลือนราง

“ทั้งห้าท่าน สิทธิครึ่งหนึ่งที่พวกเราหอเป๋ยโต่วสัญญาไว้ว่าจะมอบให้วังสวรรค์ของพวกเจ้า ตอนนี้ได้มอบให้แล้ว พวกท่านเชิญตามสบายเถิด” บุรุษชุดฟ้าเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

คนชุดขาวทั้งห้าคนสบตากันทีหนึ่งก็ประสานมือให้บุรุษชุดฟ้าเล็กน้อย หลังจากนั้นหมุนตัวกลายเป็นลำแสงสีขาวห้าสายแหวกท้องฟ้าจากไปไกลโดยไม่พูดสักคำ

“ศิษย์พี่สวี เหตุใดต้องปล่อยคนของวังสวรรค์ห้าคนนี้ไป เมื่อเข้ามาในเศษซากของโลกบนแล้ว คนนอกทั้งหมดล้วนเป็นศัตรู เหตุใดไม่ฉวยโอกาสกำจัดห้าคนนี้เสีย?” คิ้วงามของอิ๋นเซ่อขมวดนิดๆ ราวกับธารน้ำฤดูใบไม้ผลิกระเพื่อม งดงามสะกดผู้คนอย่างไม่อาจพรรณนาเป็นคำพูดได้ แต่คำพูดที่เอ่ยออกมาเย็นเยียบดั่งคมดาบ

“เซ่อเอ๋อร์ อย่าปล่อยไอสังหารเช่นนี้สิ อย่างไรเสียวังสวรรค์ก็เป็นกลุ่มอำนาจพันธมิตรของพวกเรา การเดินทางมาเศษซากของโลกบนครั้งนี้ ศัตรูคนสำคัญของพวกเราความจริงหาใช่วังสวรรค์ แล้วก็ไม่ใช่นิกายหรือสำนักอื่น แต่เป็นพวกต่างเผ่าจากแผ่นดินอื่นอย่างแผ่นดินว่านเหยา แผ่นดินว่านหมัวต่างหาก” บุรุษชุดฟ้ายิ้มเล็กน้อย

อิ๋นเซ่อได้ยินพลันเบ้ปากเล็กน้อย คล้ายกับไม่ยินยอม

“ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงพวกต่างเผ่าพวกอื่น เทียบกับแผ่นดินจงเทียน แผ่นดินหมานฮวงกับแผ่นดินว่านหมัวอยู่ห่างจากเศษซากของโลกบนใกล้กว่าเล็กน้อย ดังนั้นที่นี่ต้องมีผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจกับผู้ฝึกฝนเผ่ามารจำนวนมากแห่เข้ามาแล้วแน่นอน ฉะนั้นพวกเราต้องระวังรอบคอบ หากพบการต่อสู้ต้องทุ่มสุดกำลัง ออมมือไม่ได้เด็ดขาด” ชายหนุ่มชุดฟ้าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

ห้าคนที่เหลือรีบพยักหน้าขานรับ

“งานไม่สมควรชักช้า พวกเราขยับตัวกันเถอะ” บุรุษชุดฟ้าพยักหน้าแล้วสะบัดแขนเสื้อกว้าง แสงดาวเจิดจ้าสายหนึ่งม้วนออกมาหุ้มทั้งห้าคนไว้แล้วกลายเป็นแสงดาวสายหนึ่งมุ่งไปยังทิศทางตรงข้ามอย่างเร็วไว

……

ในหุบเขาอันเงียบสงบวังเวงแห่งหนึ่ง ฉับพลันก็มีเสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบ” “ฟึบ” ดังขึ้นมาพักหนึ่ง ทำลายความเงียบสงบของที่แห่งนี้

เงาคนสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากจากในหุบเขาทยอยร่อนลงใกล้กับยอดเขาแห่งหนึ่ง

บนร่างคนส่วนใหญ่สวมอาภรณ์สีดำ ไอปีศาจวนเวียนบนร่าง ดูจากเครื่องแต่งกายพวกเขาคือผู้ฝึกฝนของนิกายปีศาจลี้ลับ

สองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด คนหนึ่งคือบุรุษหนุ่มท่าทางเหมือนบัณฑิต มือถือพัด ร่างกายสวมชุดบัณฑิต แต่งตัวเหมือนคุณชายผู้สง่างามคนหนึ่ง แต่สีหน้าของเขากลับฉายแววโหดเหี้ยมออกมาเล็กน้อย

อีกคนหนึ่งทั้งร่างซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมต้าฉ่างสีดำ[1] เผยออกมาให้เพียงดวงตาคู่หนึ่งที่มีแววตาเย็นชา จนมองไม่เห็นความรู้สึกแม้แต่น้อย

หลังร่างของทั้งสองคนมีศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับสิบกว่าคนยืนอยู่ หลงเซวียนก็อยู่ในนั้นด้วย เส้นผมเหมือนเปลวเพลิงสีเขียวทั้งศีรษะค่อนข้างสะดุดตา

นอกจากคนของนิกายปีศาจลี้ลับ ยังมีผู้ฝึกฝนนิกายอื่นอีกเจ็ดคน ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วน่าจะเป็นคนที่มาจากสามนิกายที่แตกต่างกัน เวลานี้พวกเขากำลังยืนอยู่ห่างออกไปไกลด้านข้าง

[1] เสื้อคลุมต้าฉ่าง เสื้อผ้าจีนโบราณรูปแบบหนึ่ง ลักษณะเป็นเสื้อตัวใหญ่ผ่ากลางจากคอเสื้อจนถึงชาย แขนเสื้อกว้างและมีสายคาดเอว มักจะสวมทับไว้ด้านนอก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา