บนยันต์สลักลวดลายจิตวิญญาณที่บูดเบี้ยวไว้ หลิ่วหมิงไม่รู้จักสักตัว คิดว่าคงเป็นยันต์ของเผ่าปีศาจบางเผ่า ทว่าจากระดับความประณีตของมันกับปราณปีศาจที่แผ่ออกมาเลือนรางบนนั้นเห็นชัดว่าเป็นยันต์ที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษชนิดหนึ่ง
หลิ่วหมิงจ้องยันต์สีเงินอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาไม่หยุด
“ได้ ในเมื่อสหายมีวิธีตามหาที่ตั้งวังหมื่นปีศาจ ถ้าเช่นนั้นผู้แซ่หลิ่วก็จะเดินทางไปกับท่านสักครั้ง ทว่าคำพูดไม่น่าฟังต้องพูดเอาไว้ก่อน หากไปถึงสถานที่แห่งนั้นแล้วพบกับอันตรายที่ไม่อาจล่วงรู้อย่างอื่นขึ้น ข้าไม่รับประกันว่าจะร่วมเดินทางกับท่านจนถึงที่สุดได้”
“วางใจเถอะ! เพื่อการเดินทางครั้งนี้ข้าค้นหาข้อมูลก่อนเดินทางมายังเศษซากของโลกบนตั้งไม่รู้เท่าไร ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน จะว่าไปแล้วพื้นที่ซึ่งพวกเราฝ่าเข้าไปเมื่อครู่ ยันต์นี่ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย แสดงว่าก่อนหน้านี้แม้พวกเราเสี่ยงอันตรายมากเช่นนี้ก็ยังตามหาผิดที่” หญิงสาวฟังแล้วไม่ใส่ใจสักนิด ตรงกันข้ามกลับหัวเราะเสียงหวานเอ่ยขึ้นมา
เมื่อหญิงสาวหมุนตัวอีกครั้ง นางก็เดินหน้าต่อ
หลิ่วหมิงย่อมตามหลังสตรีนางนี้ไป เขาเดินไปพลางก็สำรวจรอบด้านอย่างละเอียดและลอบจดจำเส้นทางเอาไว้
……
สองวันให้หลังหลิ่วหมิงกับหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็ทำลายชั้นจำกัดไปตลอดทางจนตระเวนทั่วเกือบครึ่งของซากโบราณสถานแล้ว แม้ระหว่างนี้จะได้โชคลาภมาบ้าง หาโอสถและวัตถุดิบล้ำค่าพบจำนวนหนึ่ง แต่ก็เป็นจำนวนไม่มากนัก พวกเขาสองคนแบ่งไปเท่าๆ กัน
ทว่านานเช่นนี้ยังหาวังหมื่นปีศาจไม่พบ ในใจของหลิ่วหมิงก็อดไม่ได้ลังเลขึ้นมาบ้าง ในใจตัดสินใจทันทีว่าหากผ่านไปอีกหนึ่งวันยังคงไร้เงื่อนงำ เขาจะขบคิดเรื่องแยกทาง
อย่างไรในเศษซากของโลกบนแห่งนี้ แต่ละวันล้วนสำคัญยิ่งยวด ไม่อาจเสียเวลาที่นี่นานเกินไปได้
เที่ยงวันที่สาม ขณะที่ทั้งสองคนทำลายชั้นจำกัดอันร้ายกาจขนาดหนึ่งหมู่กว่าแล้วเดินเข้าไปในห้องโถงข้างที่ค่อนข้างกว้างขวางแห่งหนึ่ง ยันต์ที่สตรีผู้นี้ถือไว้ในมือก็พลันเปล่งแสงสีเงินหลายวงออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ใบหน้าก็ปรากฏสีหน้ายินดี หญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วหยุดเท้าลงด้วย นางเริ่มสำรวจรอบด้านของโถงข้าง
ห้องโถงข้างแห่งนี้มีพื้นที่ราวสิบหกถึงสิบเจ็ดจั้ง ในห้องโถงนอกจากโต๊ะศิลารูปวงกลมที่เก่าคร่ำตัวหนึ่งกับม้านั่งศิลาสามตัวรอบๆ ก็มีแต่รูปสลักหินหัวปีศาจที่หน้าตาแตกต่างกันแปดตัวซึ่งวางอยู่เป็นระยะบนกำแพงรอบด้าน
รูปสลักหินเหล่านี้หากมองเพียงปราดเดียวก็ไม่แตกต่างจากรูปสลักหินธรรมดาแต่อย่างใด เพียงแต่ใบหน้าดุร้ายของหัวปีศาจแปดตัวล้วนมองมายังโต๊ะศิลากลางห้องโถง
เวลานี้เองหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็สะบัดแขนกลมกลึง ชี้ไปยังหัวหมาป่าที่อ้าปากสีแดงสดตัวหนึ่งในนั้น
แสงสีขาวเส้นหนึ่งส่งเสียงดังฟึ้บก่อนจะจมหายไปด้านใน ดวงตาบนหัวหมาป่าฉับพลันเปล่งแสงสว่าง เงาหมาในสีเทาขนาดสองถึงสามจั้งตัวหนึ่งกระโจนออกมาแล้วแหงนหน้าหอนไร้เสียงใส่เพดานของห้องโถงด้านข้าง
“น่าจะเป็นที่นี่ไม่ผิด” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่งแล้วหมุนตัวส่งแสงสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าไปยังหัวของปีศาจที่เหลือ
หัวปีศาจที่เหลือเหล่านั้นกลายเป็นเงาร่างแล้วร่างเล่าหลุดออกมาจากรูปสลักหินเช่นเดียวกัน
ชั่วขณะหนึ่งในห้องโถงข้างก็มีเงาปีศาจอสูรที่แลดูประหนึ่งมีชีวิตแปดตัว พวกมันเริ่มไล่จับกัน เล่นกันอย่างสนุกสนาน
“หรือที่แห่งนี้จะเป็นทางเข้าวังหมื่นปีศาจ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงที่มองอยู่ด้านข้างอย่างนิ่งเฉยมาตลอดก็เอ่ยปากถามขึ้นมา
“ในเมื่อยันต์มีปฏิกิริยา มากกว่าครึ่งก็คงไม่ผิดแล้ว”
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในตอบกลับมาอย่างราบเรียบแล้วโยนยันต์สีเงินในมือไปกลางอากาศ นิ้วเรียวงามนิ้วหนึ่งจี้ดัชนีออกไป
เสียงฟู่ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ยันต์สีเงินระเบิดกลายเป็นแสงสีเงินจุดแล้วจุดเล่ากระจายไปทั่วทั้งห้องโถงข้างในพริบตา
เงาปีศาจอสูรแปดตัวนั่นสัมผัสถูกแสงสีเงินก็กลายเป็นปราณปีศาจสายแล้วสายเล่าจมเข้าไปในโต๊ะศิลาตรงกลางในทันใด
โต๊ะศิลารูปวงกลมฉับพลันเริ่มสั่นไหว บนผิวปรากฏลวดลายค่ายกลสีเงินที่ชัดเจนอย่างยิ่งอันหนึ่งออกมา หลังจากส่งเสียงครืดคราดหลายครั้งมันก็จมลึกเข้าไปใต้พื้นดิน
ชั่วครู่หลังจากนั้นบนพื้นดินพลันปรากฏค่ายกลที่ทอแสงสีเทาอ่อนขนาดหลายจั้งค่ายกลหนึ่ง
“พวกเราไป!” หลังจากหญิงสาวผู้สวมชุดนางในมองหลิ่วหมิงครั้งหนึ่ง ร่างกายก็พุ่งเข้าไปด้านในค่ายกล
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็พลิกมือฉีกยันต์หลายแผ่นเสริมเกราะป้องกันหลายชั้นให้ตนเองแล้วจึงเดินตามหลังนางเข้าไปติดๆ
ครู่ต่อมาปราณปีศาจสายหนึ่งก็พัดขึ้นมาจากรอบค่ายกล หลิ่วหมิงได้ยินเสียงร้องคำรามเลือนรางครั้งหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกว่าสรรพสิ่งรอบด้านเลือนหายไป ฟ้าดินพลิกหมุน
เมื่อเขาตั้งสมาธิได้ เห็นทุกสิ่งรอบด้านชัดอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในวังลึกลับสีดำสนิททั้งหลังแห่งหนึ่ง
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในด้านข้างมองสำรวจรอบด้านไม่หยุดเช่นเดียวกัน
ยามทอดสายตามองรอบด้าน วังทั้งหลังดูเหมือนมองไปไร้ที่สิ้นสุด แม้เงยศีรษะขึ้นมองก็ยังรู้สึกว่ามีแต่ความว่างเปล่าอันมืดมิด
หลิ่วหมิงใช้จิตสัมผัสกวาดรอบบริเวณหลายลี้ก็ไม่พบว่ามีสิ่งผิดปกติใด แต่เมื่อจะลองสำรวจไกลออกไปอีกกลับพบว่ากำลังไม่พอ
สถานที่แห่งนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะสะกดจิตสัมผัสเอาไว้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา