ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา นิยาย บท 919

สรุปบท ตอนที่ 919 วิญญาณปีศาจ: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา

อ่านสรุป ตอนที่ 919 วิญญาณปีศาจ จาก ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 919 วิญญาณปีศาจ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บนยันต์สลักลวดลายจิตวิญญาณที่บูดเบี้ยวไว้ หลิ่วหมิงไม่รู้จักสักตัว คิดว่าคงเป็นยันต์ของเผ่าปีศาจบางเผ่า ทว่าจากระดับความประณีตของมันกับปราณปีศาจที่แผ่ออกมาเลือนรางบนนั้นเห็นชัดว่าเป็นยันต์ที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษชนิดหนึ่ง

หลิ่วหมิงจ้องยันต์สีเงินอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาไม่หยุด

“ได้ ในเมื่อสหายมีวิธีตามหาที่ตั้งวังหมื่นปีศาจ ถ้าเช่นนั้นผู้แซ่หลิ่วก็จะเดินทางไปกับท่านสักครั้ง ทว่าคำพูดไม่น่าฟังต้องพูดเอาไว้ก่อน หากไปถึงสถานที่แห่งนั้นแล้วพบกับอันตรายที่ไม่อาจล่วงรู้อย่างอื่นขึ้น ข้าไม่รับประกันว่าจะร่วมเดินทางกับท่านจนถึงที่สุดได้”

“วางใจเถอะ! เพื่อการเดินทางครั้งนี้ข้าค้นหาข้อมูลก่อนเดินทางมายังเศษซากของโลกบนตั้งไม่รู้เท่าไร ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน จะว่าไปแล้วพื้นที่ซึ่งพวกเราฝ่าเข้าไปเมื่อครู่ ยันต์นี่ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย แสดงว่าก่อนหน้านี้แม้พวกเราเสี่ยงอันตรายมากเช่นนี้ก็ยังตามหาผิดที่” หญิงสาวฟังแล้วไม่ใส่ใจสักนิด ตรงกันข้ามกลับหัวเราะเสียงหวานเอ่ยขึ้นมา

เมื่อหญิงสาวหมุนตัวอีกครั้ง นางก็เดินหน้าต่อ

หลิ่วหมิงย่อมตามหลังสตรีนางนี้ไป เขาเดินไปพลางก็สำรวจรอบด้านอย่างละเอียดและลอบจดจำเส้นทางเอาไว้

……

สองวันให้หลังหลิ่วหมิงกับหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็ทำลายชั้นจำกัดไปตลอดทางจนตระเวนทั่วเกือบครึ่งของซากโบราณสถานแล้ว แม้ระหว่างนี้จะได้โชคลาภมาบ้าง หาโอสถและวัตถุดิบล้ำค่าพบจำนวนหนึ่ง แต่ก็เป็นจำนวนไม่มากนัก พวกเขาสองคนแบ่งไปเท่าๆ กัน

ทว่านานเช่นนี้ยังหาวังหมื่นปีศาจไม่พบ ในใจของหลิ่วหมิงก็อดไม่ได้ลังเลขึ้นมาบ้าง ในใจตัดสินใจทันทีว่าหากผ่านไปอีกหนึ่งวันยังคงไร้เงื่อนงำ เขาจะขบคิดเรื่องแยกทาง

อย่างไรในเศษซากของโลกบนแห่งนี้ แต่ละวันล้วนสำคัญยิ่งยวด ไม่อาจเสียเวลาที่นี่นานเกินไปได้

เที่ยงวันที่สาม ขณะที่ทั้งสองคนทำลายชั้นจำกัดอันร้ายกาจขนาดหนึ่งหมู่กว่าแล้วเดินเข้าไปในห้องโถงข้างที่ค่อนข้างกว้างขวางแห่งหนึ่ง ยันต์ที่สตรีผู้นี้ถือไว้ในมือก็พลันเปล่งแสงสีเงินหลายวงออกมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ใบหน้าก็ปรากฏสีหน้ายินดี หญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วหยุดเท้าลงด้วย นางเริ่มสำรวจรอบด้านของโถงข้าง

ห้องโถงข้างแห่งนี้มีพื้นที่ราวสิบหกถึงสิบเจ็ดจั้ง ในห้องโถงนอกจากโต๊ะศิลารูปวงกลมที่เก่าคร่ำตัวหนึ่งกับม้านั่งศิลาสามตัวรอบๆ ก็มีแต่รูปสลักหินหัวปีศาจที่หน้าตาแตกต่างกันแปดตัวซึ่งวางอยู่เป็นระยะบนกำแพงรอบด้าน

รูปสลักหินเหล่านี้หากมองเพียงปราดเดียวก็ไม่แตกต่างจากรูปสลักหินธรรมดาแต่อย่างใด เพียงแต่ใบหน้าดุร้ายของหัวปีศาจแปดตัวล้วนมองมายังโต๊ะศิลากลางห้องโถง

เวลานี้เองหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็สะบัดแขนกลมกลึง ชี้ไปยังหัวหมาป่าที่อ้าปากสีแดงสดตัวหนึ่งในนั้น

แสงสีขาวเส้นหนึ่งส่งเสียงดังฟึ้บก่อนจะจมหายไปด้านใน ดวงตาบนหัวหมาป่าฉับพลันเปล่งแสงสว่าง เงาหมาในสีเทาขนาดสองถึงสามจั้งตัวหนึ่งกระโจนออกมาแล้วแหงนหน้าหอนไร้เสียงใส่เพดานของห้องโถงด้านข้าง

“น่าจะเป็นที่นี่ไม่ผิด” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่งแล้วหมุนตัวส่งแสงสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าไปยังหัวของปีศาจที่เหลือ

หัวปีศาจที่เหลือเหล่านั้นกลายเป็นเงาร่างแล้วร่างเล่าหลุดออกมาจากรูปสลักหินเช่นเดียวกัน

ชั่วขณะหนึ่งในห้องโถงข้างก็มีเงาปีศาจอสูรที่แลดูประหนึ่งมีชีวิตแปดตัว พวกมันเริ่มไล่จับกัน เล่นกันอย่างสนุกสนาน

“หรือที่แห่งนี้จะเป็นทางเข้าวังหมื่นปีศาจ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงที่มองอยู่ด้านข้างอย่างนิ่งเฉยมาตลอดก็เอ่ยปากถามขึ้นมา

“ในเมื่อยันต์มีปฏิกิริยา มากกว่าครึ่งก็คงไม่ผิดแล้ว”

หญิงสาวผู้สวมชุดนางในตอบกลับมาอย่างราบเรียบแล้วโยนยันต์สีเงินในมือไปกลางอากาศ นิ้วเรียวงามนิ้วหนึ่งจี้ดัชนีออกไป

เสียงฟู่ดังขึ้นครั้งหนึ่ง

ยันต์สีเงินระเบิดกลายเป็นแสงสีเงินจุดแล้วจุดเล่ากระจายไปทั่วทั้งห้องโถงข้างในพริบตา

เงาปีศาจอสูรแปดตัวนั่นสัมผัสถูกแสงสีเงินก็กลายเป็นปราณปีศาจสายแล้วสายเล่าจมเข้าไปในโต๊ะศิลาตรงกลางในทันใด

โต๊ะศิลารูปวงกลมฉับพลันเริ่มสั่นไหว บนผิวปรากฏลวดลายค่ายกลสีเงินที่ชัดเจนอย่างยิ่งอันหนึ่งออกมา หลังจากส่งเสียงครืดคราดหลายครั้งมันก็จมลึกเข้าไปใต้พื้นดิน

ชั่วครู่หลังจากนั้นบนพื้นดินพลันปรากฏค่ายกลที่ทอแสงสีเทาอ่อนขนาดหลายจั้งค่ายกลหนึ่ง

“พวกเราไป!” หลังจากหญิงสาวผู้สวมชุดนางในมองหลิ่วหมิงครั้งหนึ่ง ร่างกายก็พุ่งเข้าไปด้านในค่ายกล

หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็พลิกมือฉีกยันต์หลายแผ่นเสริมเกราะป้องกันหลายชั้นให้ตนเองแล้วจึงเดินตามหลังนางเข้าไปติดๆ

ครู่ต่อมาปราณปีศาจสายหนึ่งก็พัดขึ้นมาจากรอบค่ายกล หลิ่วหมิงได้ยินเสียงร้องคำรามเลือนรางครั้งหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกว่าสรรพสิ่งรอบด้านเลือนหายไป ฟ้าดินพลิกหมุน

เมื่อเขาตั้งสมาธิได้ เห็นทุกสิ่งรอบด้านชัดอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในวังลึกลับสีดำสนิททั้งหลังแห่งหนึ่ง

หญิงสาวผู้สวมชุดนางในด้านข้างมองสำรวจรอบด้านไม่หยุดเช่นเดียวกัน

ยามทอดสายตามองรอบด้าน วังทั้งหลังดูเหมือนมองไปไร้ที่สิ้นสุด แม้เงยศีรษะขึ้นมองก็ยังรู้สึกว่ามีแต่ความว่างเปล่าอันมืดมิด

หลิ่วหมิงใช้จิตสัมผัสกวาดรอบบริเวณหลายลี้ก็ไม่พบว่ามีสิ่งผิดปกติใด แต่เมื่อจะลองสำรวจไกลออกไปอีกกลับพบว่ากำลังไม่พอ

สถานที่แห่งนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะสะกดจิตสัมผัสเอาไว้!

หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเดิมก็หน้าตางามเลิศอยู่แล้วเมื่อได้แสงเรืองรองหลากลายสีนี้ขับเน้นจึงยิ่งแลดูงามจนน่าตะลึง ทำให้หลิ่วหมิงมองจนเหม่อลอยไปพักหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้

ทันใดนั้นหญิงสาวก็หยุดท่องมนตร์ นางอ้าปากคายลูกแก้วกลมสีขาวใสแวววาวลูกหนึ่งออกมา มันลอยอยู่เบื้องหน้านิ่งไม่ขยับ

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ฉุกคิดขึ้นมา

ลูกแก้วลูกนี้เคยถูกคายออกมาแล้วตอนสู้ศึกกับมนุษย์ปีศาจคนนั้น คิดว่ามันคงเป็นแก่นปีศาจของสตรีนางนี้

เมื่อคายแก่นปีศาจออกมาแล้ว สิบนิ้วขาวผ่องบนสองมือของนางก็ดีดนิ้วไม่หยุด เคล็ดวิชาสีเงินอ่อนสายแล้วสายเล่ายิงลงบนนั้นต่อเนื่องไม่ขาดสายอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีเงินอ่อนสายแล้วสายเล่าก็เปล่งออกมาจากในลูกแก้วกลม ปราณปีศาจสีเงินอ่อนสายหนึ่งแผ่ไปทั่วสี่ด้านแปดทิศโดยมีสตรีนางนี้เป็นศูนย์กลาง

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าอากาศที่เดิมทีนิ่งสงบรอบด้านเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากปราณปีศาจสีเงินเหล่านี้ผสานเข้าไป จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังอึกทึกเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหายจากไกลและใกล้

มีเสียงราชสีห์คำราม มีเสียงพยัคฆ์ขู่ มีเสียงอินทรีกรีดร้อง มีเสียงหมาป่าเห่าหอน…มากมาย ไม่รู้จำนวนทั้งหมดเท่าไร

เสียงอึกทึกที่ผุดขึ้นตรงนั้นตรงนี้ทำให้หลิ่วหมิงลอบตกตะลึงอยู่ในใจ

หญิงสาวผู้สวมชุดนางในด้านในค่ายกลรูปครึ่งวงกลมทำราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้ นางยังคงกระตุ้นเคล็ดวิชาในมือ

ในเวลานี้เองปราณปีศาจสีเงินสายหนึ่งพลันพุ่งขึ้นฟ้าไปอยู่เหนือศีรษะของสตรีนางนี้ หลังจากมันหมุนติ้วอยู่กลางอากาศก็ก่อตัวเป็นเงาปีศาจจิ้งจอกเก้าหางสีขาวโพลนทั้งร่างที่ดูราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งในทันใด

หลิ่วหมิงกวาดสายตามองเงาจิ้งจอกเก้าหางโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแล้วปล่อยจิตสัมผัสออกไป ในเวลาเดียวกันมือข้างหนึ่งก็ตั้งท่าเคล็ดวิชา เตรียมพร้อมกระตุ้นเงาเชอฮ่วนออกมาตลอดเวลา

พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อยเสียงเอะอะไกลออกไปก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกับว่ามีบางสิ่งที่จำนวนน่าตะลึงกำลังบีบเข้ามาใกล้จากสถานที่ไกลออกไป

ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว!

หลิ่วหมิงเหล่มองเล็กน้อยก็เห็นแสงสีแดงมืดฟ้ามัวดินดุจเมฆแดงผืนหนึ่งกำลังลอยเร็วรี่มุ่งหน้ามายังจุดที่ทั้งสองคนอยู่ มองเห็นเลือนรางว่าด้านในแสงสีแดงหุ้มปีศาจอสูรขนาดไม่เท่ากันอยู่หลายสิบตัว

รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็กลงทันที เขาพบว่าปีศาจอสูรตัวหนึ่งที่นำหน้ามาด้านในแสงสีแดงเหล่านี้ก็คือปีศาจจิ้งจอกยักษ์ที่ร่างกายมีขนาดถึงสามสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง

เส้นขนทั้งร่างของจิ้งจอกตัวนี้เป็นสีขาวโพลนเช่นเดียวกัน ร่างกายของมันว่องไวอย่างยิ่ง ผิวทอแสงสีแดงระยิบระยับ บนแผ่นหลังมีหางขาวฟูฟ่องเก้าเส้นโบกสะบัดไม่หยุดท่ามกลางสายลมจนเหมือนบุปผาดอกหนึ่งแย้มกลีบบาน คล้ายคลึงกับร่างเดิมที่หญิงสาวผู้สวมชุดนางในตรงหน้าเคยแปลงกายจนแทบจะเหมือนกันทุกประการยกเว้นก็แต่ขนาดตัว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา