ปราณสีแดงอ่อนสายหนึ่งลอยออกมาจากขนแผงคอสีเลือดกำน้อย ผสานเข้าไปในคลื่นไหวกระเพื่อมสีดำอย่างเชื่องช้า
ดวงตาของหลิ่วหมิงเกิดคลื่นไหวกระเพื่อมสีดำชั้นหนึ่งราวกับตอบรับ
หลังจากเข้ามาในเศษซากโลกบน เขาผ่านการต่อสู้เข่นฆ่าติดกันมาหลายครั้ง ไม่ว่าสภาพจิตใจหรือพลังก็ตกผลึกไม่น้อย เวลานี้ใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณจึงไม่เพียงไม่กินแรงอย่างก่อนหน้านี้ ตรงกันข้ามระยะทางที่สัมผัสได้กลับเพิ่มมากกว่าเดิมมาก
“ตามมาแล้วจริงๆ…” ดวงตาของหลิ่วหมิงส่องสว่างวูบหนึ่งจากนั้นเขาก็เก็บแขนที่ยื่นออกมากลับไป วงกระเพื่อมสีดำกะพริบวูบหนึ่งแล้วสลายไป ร่างจริงขยับวูบเดียวกลายเป็นเงาลวงสี่ร่างแยกย้ายไปสี่ทิศพุ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว แทบจะหายลับขอบฟ้าไปในพริบตา
เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง ลำแสงสีเลือดเส้นหนึ่งก็พุ่งรวดเร็วมาจากไกลๆ มันส่องสว่างวูบหนึ่งก่อนจะเผยร่างของจี๋อิ่ง
เขากวาดจิตสัมผัสไปรอบด้านแล้วขมวดคิ้ว จากนั้นพลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลสีครามแผ่นหนึ่งออกมา
แสงสีครามกะพริบบนแผ่นค่ายกลอยู่พักหนึ่ง เสียงของสตรีที่แผ่วเบาแทบไม่ได้ยินหลายประโยคก็ดังขึ้น เหมือนจะเป็นหลานซือที่แจ้งอะไรบางอย่าง
จี๋อิ่งได้ยินก็หัวเราะหยันแล้วกลายเป็นรุ้งสีเลือดเส้นหนึ่งแหวกอากาศไปอีกครั้ง ทิศทางที่มุ่งไปก็คือทิศทางที่หลิ่วหมิงตัวจริงหลบหนี
หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างไปพันกว่าลี้กำลังเหาะไปด้านหน้าอย่างรีบร้อนขณะที่ใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณไปด้วย คลื่นไหวกระเพื่อมเป็นระลอกในดวงตา
“จี๋อิ่งผู้นี้ไม่รู้ใช้วิชาลับสะกดรอยอันใดถึงสัมผัสตำแหน่งที่แท้จริงของข้าได้ครั้งแล้วครั้งเล่า” หลิ่วหมิงสีหน้าย่ำแย่
หลังจากเขาสำเร็จเคล็ดวิชาเงาสามส่วนขั้นปลาย ปราณของเงาลวงทั้งสี่ร่างที่แยกออกมาก็เหมือนกันทุกประการ เมื่อมีพลังจิตมหาศาลของเขาเกื้อหนุน ผู้ฝึกฝนธรรมดาทั่วไปที่อยู่ต่ำกว่าระดับดาราพยากรณ์ล้วนแยกไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ยามต่อสู้ประชิดถูกมองออกยังมีเหตุผลเข้าใจได้ แต่ยามนี้ระยะทางห่างไกลเช่นนี้ยังถูกอีกฝ่ายมองออกอย่างง่ายดายอีก นี่ไม่มีเหตุผลอยู่บ้างแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ความเร็วลำแสงของเขาก็เร็วขึ้นอีกเล็กน้อยจนกลายเป็นดาวตกสีเงินสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป
หลิ่วหมิงไม่สังเกตเลยว่าในป่าทึบข้างใต้ลำแสงมีแสงสีฟ้าส่องสว่างบนต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่ง บนลำต้นปรากฏใบหน้าดวงหนึ่งออกมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้านั้นแลดูพร่ามัวอยู่บ้าง มีเพียงดวงตาสองข้างที่ทอแสงจิตวิญญาณระยิบระยับ ดวงตาใสกระจ่างดุจอัญมณีสีฟ้ากำลังมองทิศทางที่ลำแสงของหลิ่วหมิงมุ่งจากไปไกลอย่างไม่ละสายตา
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นใบหน้านั้นก็ค่อยๆ จมลงไปในลำต้นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ห่างไปด้านหลังหลายพันลี้แผ่นค่ายกลสีครามในมือจี๋อิ่งสั่นไหว แสงสีครามเรืองๆ เปล่งออกมาอีกครั้ง เสียงของสตรีดังเลือนรางจากกลางแสงสีครามอีกหน
“ฮ่ะๆ ข้าจะดูซิว่าเจ้ายังจะหนีไปไหนได้?” จี๋อิ่งฟังแล้วก็หัวเราะเหี้ยมเหรียม ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากพ่นแสงสีแดงสายหนึ่งออกมา ท่ามกลางแสงสีแดงคือผลึกสีเลือดทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนชิ้นหนึ่ง ทันทีที่เรียกออกมาเส้นไหมแวววาวเล็กละเอียดมากมายนับไม่ถ้วนก็ยืดออกมาล้อมร่างกายเขาไว้
อึดใจต่อมาทั้งร่างของเขาก็กลายเป็นแสงสีเลือดแสบตาดวงหนึ่ง เห็นเงาหมาป่าตัวหนึ่งมีสายลมประคองขาทั้งสี่ข้างอยู่เลือนราง แสงสีเลือดส่องสว่างวูบเดียวก็พุ่งผ่านระยะทางร้อยกว่าจั้งด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเกือบครึ่งเท่า
เมื่อหลิ่วหมิงใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณสัมผัสตำแหน่งของจี๋อิ่งอีกครั้งก็พบว่าความเร็วลำแสงของจี๋อิ่งเพิ่มขึ้นมากอย่างฉับพลัน เวลาทั้งหมดไม่ถึงครึ่งก้านธูป ระยะห่างของทั้งสองคนก็ใกล้เข้ามามากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
“สมควรตาย!”
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แม้ตนมีโอสถที่เสริมพลังเวทได้ไม่น้อย แต่ความเร็วของจี๋อิ่งเดิมทีก็เร็วมากอยู่แล้ว ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนกำลังย่นเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
บนหน้าเขาเผยสีหน้าลังเลเล็กน้อยแต่จากนั้นก็กัดฟันตบเบาๆ ข้างเอว ประกายแสงสีเงินส่องสว่างก่อนที่ฝักกระบี่ว่างเปล่าจะลอยออกมา จากนั้นเขาก็ฉีกยันต์สีเงินที่แปะอยู่ด้านบนออก
ฟึบ! กระบี่น้อยสีทองขนาดไม่กี่ชุ่นเล่มหนึ่งพุ่งออกมา
เขายิงเคล็ดกระบี่หลายสายออกไปอย่างต่อเนื่อง กระบี่น้อยสีทองพลันเปล่งแสงสีทองแสบตาแล้วขยายขนาดกลายเป็นกระบี่ยักษ์ยาวหลายจั้งเล่มหนึ่ง รอบตัวกระบี่เปล่งประกายสีฟ้าระยิบระยับ
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นกระบี่ยักษ์สีทองก็สาดแสงสีทองสายหนึ่งหุ้มร่างกายของเขาแล้วกลายเป็นรุ้งกระบี่น่าตะลึงสายหนึ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงกะพริบวูบเดียวก็กลายเป็นจุดแสงจุดหนึ่งหายลับไปตรงขอบฟ้า
ความเร็วยามนี้เร็วกว่าก่อนหน้าเกือบหนึ่งเท่า!
หลิ่วหมิงยืนอยู่บนกระบี่ยักษ์อย่างมั่นคง หูได้ยินเสียงหวีดหวิวของกระบี่ดังชัด ทุกสิ่งรอบด้านพร่าเลือน ความเร็วนี่เร็วเกินไปอย่างแท้จริงจนทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกว่าควบคุมกระบี่ยักษ์ไม่อยู่เล็กน้อย
เขาเพิ่งเคยใช้วิชาขี่กระบี่กับลูกกลอนกระบี่เป็นครั้งแรก เทียบกับยามเป็นต้นแบบอาวุธเวทมันเร็วกว่ามากนักจริงๆ
หลิ่วหมิงแรกสุดตกตะลึง แต่จากนั้นก็ยินดีอย่างยิ่ง
ทว่าในตอนนั้นเองเสียงสั่นไหวแผ่วเบาก็ดังแทรกมากับเสียงหวีดหวิดใสกังวานของกระบี่
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วจากนั้นก็ถอนหายใจ
พลังจิตวิญญาณของลูกกลอนกระบี่ยังไม่มั่นคงโดยสมบูรณ์ หลายวันก่อนเขาฝืนเรียกมันออกมาครั้งหนึ่งเพื่อสังหารมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ วันนี้ก็เรียกออกมาใช้อีกครั้ง หากใช้นานเข้าเกรงว่าพลังจิตวิญญาณของลูกกลอนกระบี่คงเสียหาย
ในใจหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ มือก็พลิกเรียกกระบี่บินธาตุสายฟ้าที่เคยใช้คุมค่ายกลซึ่งเขาได้จากในท้องของอสูรยักษ์เล่มนั้นออกมา
ตัวกระบี่ยาวหนึ่งฉื่อกว่ามีเส้นสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งแลบออกมาเป็นระยะ เห็นชัดว่าพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม
กระบี่เล่มนี้หากมองเพียงคุณสมบัติน่าจะสูสีกับกระบี่ว่างเปล่ายามเป็นต้นแบบอาวุธเวท
เมื่อสายตาของเขาเคลื่อนไปจับที่ด้ามกระบี่ก็ตกตะลึง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา