หลานซือพยักหน้า สองแขนไขว้เบื้องหน้าร่างทำท่ามือเปลี่ยนไปไม่หยุด ครู่หนึ่งหลังจากนั้นนางก็อ้าปากพ่นพลังปีศาจสีฟ้าอ่อนสายหนึ่งออกมากลายเป็นเส้นไหมเรียวเล็กสีฟ้านับไม่ถ้วนวนล้อมบนร่างหลิ่วหมิง พวกมันส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ขณะนั้นหลิ่วหมิงรู้สึกว่าร่างกายเย็นเล็กน้อย ในทะเลจิตวิญญาณมีแสงสีฟ้าเล็กเท่าเส้นผมนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น พวกมันลอยล่องอยู่รอบผลึกพลังเวทในทะเลจิตวิญญาณ แต่นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดผิดปกติ
เขากับหลานซือยิ้มให้กันอย่างเข้าใจความนัย ชั้นจำกัดเช่นนี้ที่ทั้งสองคนวางไว้บนตัวอีกฝ่ายอาจเอาชีวิตอีกฝ่ายทันทีไม่ได้ แต่พันธนาการอีกฝ่ายในช่วงเวลาสำคัญย่อมเหลือเฟือ
หลังจากสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการวางชั้นจำกัดให้กันแต่ความจริงเป็นการหยั่งเชิงกันและกันครั้งนี้จบลง สัญญาพันธมิตรระหว่างทั้งสองคนก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อยในทันใด
“อีกไม่นานจี๋อิ่งก็คงติดต่อข้าอีกครั้ง พวกเรารีบหาวิธีแน่ชัดร่วมมือจัดการเถอะ” สตรีนางนี้จริงจังเสมอ เวลานี้ฉับพลันแย้มรอยยิ้ม ก็เหมือนดอกไป่เหออันเย็นชาแย้มกลีบบานกะทันหัน ทำให้หลิ่วหมิงมองจนตะลึงไปชั่วครู่
“สหายหลานน่าจะมีแผนการอยู่ก่อนแล้วกระมัง ข้าล้างหูรอฟังก็พอ” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น
“สหายหลิ่วล้อข้าเล่นแล้ว คงไม่กล้าเรียกว่าแผนการ แต่วิธีรับมือจี๋อิ่ง ข้าก็เตรียมไว้อยู่หลายสิ่งจริงๆ” หลานซือเอ่ยอย่างเชื่องช้า
หลังจากทั้งสองคนหารือกันสักพัก พวกเขาต่างก็แยกย้ายไปเตรียมการของแต่ละคนอย่างรวดเร็ว
……
เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง เหนือทะเลสาบที่ซ่อนเร้นมิดชิดอย่างที่สุด ลำแสงสีเลือดสายหนึ่งวาดผ่านท้องฟ้าส่งเสียงหวีดแหลมแสบแก้วหู
กลางลำแสงคือจี๋อิ่งผู้มีสีหน้าไม่น่าดูอย่างยิ่ง
เพื่อแย่งชิงเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณในมือของหลิ่วหมิงกับกำจัดภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่ เขาจึงพาบริวารเผ่าหลานมู่เหล่านี้ตามรอยหลิ่วหมิงมาสองสามวันแล้ว
เขาไม่เคยเห็นเผ่ามนุษย์ที่กายเนื้ออ่อนแออยู่ในสายตา ยิ่งเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนคนหนึ่งด้วยแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าอาศัยความเร็วของตนคงจะจับอีกฝ่ายได้ง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ แต่คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าเผ่ามนุษย์ผู้นี้กลับมีวิชาลับเพิ่มความเร็วหลายชนิดจนตอนนี้เขาก็ยังจับไม่ได้
นี่ทำให้เพลิงโทสะลุกโหมในใจจี๋อิ่ง อีกทั้งเพราะเวลาล่วงเลยมานานจนกระทบกับงานใหญ่อีกงานหนึ่งที่เผ่าหมาป่าเงากับเผ่าพยัคฆ์เงินวางแผนไว้แต่เดิม
แต่เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณชิ้นนั้นที่ตัวหลิ่วหมิงมีประโยชน์ยิ่งนักกับเขา เรื่องล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้เขาก็ได้แต่ดันทุรังไล่ตามต่อเท่านั้น
เสียงวิ้งดังออกมาจากบนร่างของจี๋อิ่ง
สีหน้าเขาชะงักไปก่อนจะโบกมือเรียกแผ่นค่ายกลสีครามแผ่นหนึ่งออกมา มันส่องแสงสีครามจากนั้นก็มีเสียงของหลานซือดังออกมาจากแผ่นค่ายกล
“ท่านจี๋อิ่ง ข้าถ่วงเวลาเผ่ามนุษย์ผู้นั้นไว้ชั่วคราว ท่านโปรดรีบมาเสริมทัพ ข้าคงขังคนผู้นั้นไว้ได้ไม่นานนัก…”
เสียงของหลานซือฟังดูร้อนรนยิ่งนัก หลังจากบอกตำแหน่งที่แน่ชัดแล้ว เสียงก็ขาดหายไปอย่างรวดเร็ว
“ดี!”
จี๋อิ่งสีหน้ายินดีอย่างยิ่ง เขาพลิกมือเรียกแผ่นค่ายกลออกมา พร้อมกับที่ปากเอ่ยท่องมนตร์ ทั้งร่างฉับพลันกลายเป็นแสงสีเลือดดวงหนึ่ง ความเร็วของลำแสงเพิ่มขึ้นมาในทันทีแล้วแหวกอากาศไปยังตำแหน่งที่หลานซือบอก
หลังจากจี๋อิ่งเหาะออกไปได้ห้าพันกว่าลี้ ป่าทึบสูงใหญ่ไม่ธรรมดาผืนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ที่นี่คือจุดที่หลานซือส่งสารมาบอก
“เหอะ หนีมาไกลถึงที่นี่ รนหาที่ตายจริงๆ!” จี๋อิ่งดวงตาทอประกายวูบหนึ่ง มุมปากปรากฏรอยยิ้มเหี้ยม
ไม่มีใครรู้ชัดยิ่งกว่าเขาว่าคนของเผ่าหลานมู่สำแดงพลังได้แข็งแกร่งเพียงไรในสถานที่ซึ่งเป็นป่าทึบแผ่ไปทั่วเช่นนี้
ในเวลาเดียวกันนั้น ด้านในหุบเขาแห่งหนึ่งลึกเข้าไปในป่าทึบหลายร้อยจั้ง เถาวัลย์แห้งนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากใต้ดินแล้วงอกรวดเร็วอย่างบ้าคลั่งเกิดเป็นโลกเขียวชะอุ่มแห่งหนึ่ง
เสียงเปรี้ยงดังสนั่น ต้นไม้ทั้งหมดราวกับมีชีวิต พวกมันเอนส่ายไม่หยุด หุบเขาขนาดหลายร้อยจั้งแลดูสับสนวุ่นวาย แต่ซ่อนความลี้ลับเอาไว้ด้านใน
เงาคนที่มีปราณดำหุ้มร่างหนึ่งกำลังเหาะเคลื่อนที่ไปมาในทะเลต้นไม้ คนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
เวลานี้วงแหวนแสงจากกระบี่สีม่วงสายหนึ่งกำลังเหาะร่อนวนเวียนอยู่รอบตัวเขาปกป้องร่างกายไว้
กิ่งก้านรอบด้านราวกับอสรพิษไวว่องมุดลงรู พวกมันพันรัดเข้าหาหลิ่วหมิง กิ่งไม้ใบไม้ปกติธรรมดาเหล่านี้ เวลานี้ล้วนแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า ขนาดใช้พลังของกระบี่บินก็ดูราวกับจะไม่อาจตัดมันขาดได้
หลิ่วหมิงแลดูหน้าดำคร่ำเครียด ร่างกายขยับวูบหมายจะเหาะออกจากทะเลต้นไม้ แต่ไม่ว่าจะขยับเปลี่ยนทางอย่างไรก็ถูกกิ่งก้านที่ไขว้ขวางเกี่ยวพันกันนับไม่ถ้วนบีบกลับมา
จี๋อิ่งเคลื่อนที่หายตัวไม่กี่ครั้งก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ เขาย่อมมองเห็นภาพเบื้องหน้าชัดเจน
“มหาค่ายกลวิญญาณพฤกษา! หลานซือทำได้ไม่เลว ในเมื่อใช้ค่ายกลนี้ ดูท่าคงไม่ต้องให้ข้าลงมือ เผ่ามนุษย์ผู้นี้ก็หนีไม่รอดแล้ว” จี๋อิ่งเอ่ยเช่นนี้ จากนั้นดวงตาก็พลันมีแววตาเหี้ยมเกรียมที่สังเกตไม่ง่ายสายหนึ่งแล่นผ่าน
มหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาเป็นค่ายกลอันลือชื่อของเผ่าหลานมู่ รุกรับได้ในร่างเดียว แล้วยังมีอิทธิฤทธิ์ประหลาดในการเพิ่มจำนวนหมู่มวลพฤกษา บนแผ่นดินหมานฮวงเป็นหนึ่งในมหาค่ายกลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่มีเพียงสมาชิกคนสำคัญในเผ่าหลานมู่เท่านั้นที่จะใช้ได้
ดูจากพลังของค่ายกลที่สตรีนางนี้วาง ไม่เสียทีที่นางเป็นหัวหน้าของหมู่ศิษย์อัจฉริยะหลายคนของเผ่าหลานมู่ นี่ทำให้ในใจจี๋อิ่งหมายจะสังหารสตรีนางนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
“ท่านจี๋อิ่ง เพื่อล่อเจ้าหนูนี่เข้ามาในมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษา ข้าเสียพลังเวทไปไม่น้อยคงยื้อไว้ได้ไม่นานนัก เกรงว่าอาจต้องให้ท่านลงมือถึงจะจับเผ่ามนุษย์คนนี้ได้” คลื่นสีฟ้าไหวกระเพื่อม สตรีชุดฟ้าปรากฏตัวไม่ไกลจากจี๋อิ่งอย่างช้าๆ ทว่าสีหน้าซีดเผือด ทั่วร่างเหงื่อไหลโชก ท่าทางเหมือนพลังเวทใกล้หมด
แม้นางกำลังพูดอยู่กับจี๋อิ่ง แต่ดวงตาทั้งสองไม่ละไปจากหลิ่วหมิงที่อยู่กลางมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษา มือทำท่าเคล็ดวิชาประหลาดท่าแล้วท่าเล่าไม่หยุด เห็นชัดว่ากำลังควบคุมค่ายกลอยู่อย่างเต็มกำลัง
เมื่อเห็นเช่นนี้ความสงสัยเล็กน้อยในใจจี๋อิ่งก็พลันมลายหายไป
“ถ้าเช่นนั้นก็ได้ เจ้าใช้มหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาตรึงความเคลื่อนไหวของคนผู้นี้ไว้ ข้าจะทำให้พลังเวทเขาหมด อย่าเพิ่งสังหารเขา ข้ายังมีบางเรื่องต้องถามมนุษย์ผู้นี้” จี๋อิ่งหัวเราะเหี้ยมเกรียม จากนั้นเสียงหวีดหวิวยาวเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับที่เขาเอนร่างพาเงาเลือนรางสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง
เวลานี้หลิ่วหมิงกำลังพยายามขยับหลบอยู่ด้านในมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาอย่างสุดกำลังคล้ายไม่รู้สึกถึงการจู่โจมของจี๋อิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา