หากหลิ่วหมิงเผชิญหน้ากับการโจมตีดุจสายฟ้าของจี๋อิ่งในโลกภายนอก ต่อให้หลบพ้นก็คงได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง แต่ในมิติคุกมืด จิตสัมผัสและประสาทสัมผัสทั้งห้าของจี๋อิ่งล้วนได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
หลิ่วหมิงขยับร่างเพียงครั้งเดียว รอบด้านพลันมีหมอกสีดำหนาทึบม้วนตลบมาขวางเบื้องหน้า พร้อมกันนั้นร่างกายก็พุ่งถอยหลัง ทั้งร่างกลืนเข้ากับความมืดรอบด้าน
“เผ่ามนุษย์อ่อนแอ หากกล้าก็ออกมาสู้กับข้าซึ่งๆ หน้า!” จี๋อิ่งตะปบพลาดเป้าก็เต้นผางเหมือนถูกสายฟ้าฟาด เขาตวาดใส่ความมืดรอบด้านไม่หยุด
ร่างกายของหลิ่วหมิงเคลื่อนอย่างเงียบเชียบท่ามกลางปราณสีดำ เขาลอยห่างออกจากขอบเขตการรับรู้ของจี๋อิ่งแล้วเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวทุกอย่างของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวของเขา
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ทอประกายเย็นเยียบ สายตาจับจ้องบนร่างจี๋อิ่งเพียงชั่วครู่ก็ใช้เคล็ดกระบี่ทันที
กระบี่ขู่หลุนที่บินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ขยายใหญ่หลายเท่าในทันใด ประกายแสงสีม่วงส่องสว่างวูบหนึ่งก่อนจะแตกออกเป็นเส้นไหมกระบี่สีม่วงมากมายแล้วกลายเป็นเงากิเลนสีม่วงขนาดสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งที่มีอสนีบาตล้อมอยู่ทั่วร่าง
ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงใช้พลังแปลงประกายแสงของกระบี่เป็นวัตถุน้อยครั้งนัก ไม่ใช่เขาทำไม่เป็นแต่เพราะธาตุของกระบี่ว่างเปล่าไม่เหมาะจะใช้กับวิชาศาสตร์กระบี่ที่โฉ่งฉ่างเช่นนี้
แต่หลังจากผูกพันธะหลายวันนี้ หลิ่วหมิงค้นพบว่ากระบี่ขู่หลุนที่ได้มาโดยบังเอิญเล่มนี้กลับเหมาะจะใช้แปลงประกายแสงกระบี่เป็นวัตถุเช่นนี้อย่างยิ่ง
แสงอสนีบาตส่องสว่างวูบหนึ่งจากนั้นก้อนเมฆสีม่วงก็ปรากฏใต้เท้าทั้งสี่ของกิเลนสีม่วง ร่างกายมโหฬารลอยขึ้นบนอากาศแล้วพุ่งเร็วรี่เข้าใส่จี๋อิ่งท่ามกลางปราณสีดำรอบด้านที่ซ่อนตัวมันไว้
เวลานี้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของจี๋อิ่งถูกมิติคุกมืดจำกัด เมื่อเขาสัมผัสการเคลื่อนไหวได้ กิเลนก็อยู่ห่างจากแผ่นหลังของเขาไปไม่ถึงเจ็ดแปดจั้งแล้ว
เสียงเปรี๊ยะดังขึ้นสับสนอลหม่าน กรงเล็บคู่หน้าที่ถูกหุ้มด้วยอสนีบาตสีม่วงตะปบเข้าใส่แผ่นหลังของเขาอย่างรุนแรง
อย่างไรเสียจี๋อิ่งก็เป็นผู้ที่ผ่านศึกมานับร้อย ทันทีที่เขารู้สึกว่าท่าไม่ดี เขาไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ บนร่างส่องแสงสีเลือดชั้นหนึ่งโดยฉับพลัน ทั้งร่างกลายเป็นดวงตะวันสีโลหิตที่ส่องแสงสีเลือดแสบตาดวงหนึ่ง
ปัง!
กรงเล็บสองข้างของกิเลนสีม่วงซึ่งทรงพลังจนน่าตะลึงสัมผัสถูกดวงตะวันสีเลือดเพียงนิดเดียวก็ถูกดีดออกมา ไม่อาจตบลงไปได้แม้แต่น้อย
ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววเหี้ยมเกรียม เคล็ดกระบี่เปลี่ยนไปทันที กิเลนสีม่วงอ้าปากกว้างพ่นแสงสายฟ้าแสบตาหนาเท่าถังน้ำเส้นหนึ่งออกมา
สายฟ้ารวดเร็วปานใด เพียงแวบเดียวมันก็แหวกแสงสีเลือดที่ปกป้องร่างกายของจี๋อิ่งแล้วฟาดลงบนแผ่นหลังของเขา
เปรี้ยง!
ชุดยาวสีเลือดบนร่างจี๋อิ่งถูกเผาเป็นรูขนาดใหญ่ ขนสีเลือดหนาบนแผ่นหลังถูกโจมตีครั้งเดียวไหม้เกรียมเป็นแถบและมีควันสีเทาลอยโชยออกมา
“รนหาที่ตาย!”
ใบหน้าเขาเผยสีหน้าตกตะลึงและโกรธเกรี้ยวออกมาชั่วครู่แล้วคำรามในลำคอ ทันใดนั้นเขาก็หายวับไปก่อนจะหมุนตัวกลับมา อ้าปากกว้างพ่นลูกบอลแสงสีเลือดสิบกว่าลูกออกมาเป็นพรวน พวกมันหมุนติ้วอย่างรวดเร็วจากนั้นกลายเป็นพายุหมุนสีเลือดขนาดมหึมา
ภาพที่น่าตะลึงบังเกิดขึ้นแล้ว!
ปราณกระบี่อสนีบาตรอบร่างกิเลนสีม่วงฉับพลันกลายเป็นเส้นไหมแวววาวสีม่วงเส้นแล้วเส้นเล่า ทยอยถูกแรงมหาศาลดูดเข้าไปในพายุหมุนสีเลือดแล้วมลายหายไป
เวลาเพียงสองถึงสามลมหายใจ กิเลนสีม่วงก็ร้องครวญคราง ร่างกายถูกโจมตีจนแหลกเป็นชิ้น เผยร่างต้นของกระบี่บินสีม่วงออกมา หลิ่วหมิงหน้าถอดสี เขารีดเค้นพลังอย่างบ้าคลั่งถึงพุ่งออกจากพันธนาการของพายุหมุนอันปั่นป่วนมาได้
ทว่าในเวลานี้เองเงาดำก็ขยับวูบหนึ่ง ร่างของหลิ่วหมิงปรากฏตัวข้างกายจี๋อิ่งอย่างกะทันหัน สองแขนวาดแหวกอากาศ เงาหมัดสีดำนับไม่ถ้วนต่อยออกมาในทันใด
ระยะห่างที่ใกล้เช่นนี้ แม้จี๋อิ่งอยากหลบก็สายไปเสียแล้ว!
เสียงประหนึ่งสายฝนกระทบใบตอง บนร่างเขาตั้งแต่บนจรดล่างรับหมัดไปไม่รู้เท่าไร ร่างกายถอยตึงตังต่อเนื่องหลายก้าว
ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด สีหน้าเกรี้ยวกราดปรากฏบนใบหน้า แขนข้างหนึ่งเหวี่ยงโดยไม่ต้องคิด เส้นไหมแวววาวสีเลือดนับไม่ถ้วนพุ่งพรวดออกมาจากใจกลางกลายเป็นตาข่ายยักษ์ครอบลงมาหาหลิ่วหมิง
ปัง!
ปราณดำบนร่างหลิ่วหมิงเพิ่มพรวดแล้วก่อตัวเป็นมังกรหมอกสีดำตัวหนึ่งดันตาข่ายยักษ์สีเลือดไว้ในพริบตา จากนั้นทั้งร่างก็พุ่งถอยออกไปดุจภูตพรายเร้นหายไปในความมืดอีกครั้ง
จากนั้นทั้งสองคนก็ตกอยู่ในการต่อสู้ยืดเยื้ออันแปลกประหลาด แม้หลิ่วหมิงจะทำร้ายจี๋อิ่งให้บาดเจ็บจริงๆ ไม่ได้ แต่อาศัยชัยภูมิที่ได้เปรียบของคุกมืด เขาก็ใช้กลยุทธ์สู้ไม่ได้แล้วหนี ยื้อเขาไว้ได้ชั่วคราว
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเมื่อจี๋อิ่งบีบหลิ่วหมิงให้ถอยไปหลังโจมตีได้อีกครั้ง ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายแสงสีเลือด แหงนหน้าคำรามเกรี้ยวกราดในทันที อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์หลายคำออกมาอย่างต่อเนื่อง
โลหิตส่ายไหวท่ามกลางสายลมแล้วลุกไหม้ กลายเป็นเปลวเพลิงโลหิตชั้นหนึ่งหุ้มทั้งร่างของเขาไว้ จากนั้นสองมือก็ตั้งท่าเคล็ดวิชาอย่างเร็วไวใช้วิชาลับอันแข็งแกร่งบางอย่างออกมา
หลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางความมืดเห็นภาพนี้ในใจพลันหวาดผวา แม้เขายังไม่รู้ว่าจี๋อิ่งใช้วิชาลับอันใด แต่จะให้เขาสมหวังไม่ได้
เขาไม่คิดสิ่งใดกระตุ้นเคล็ดกระบี่ทันที กระบี่ขู่หลุนที่อยู่เบื้องหน้าฟาดอสนีบาตออกมากลายเป็นแสงกระบี่สีม่วงยาวสิบกว่าจั้ง ฟันลงไปหาเปลวเพลิงโลหิตที่จี๋อิ่งเสกออกมาอย่างหนักหน่วง
เสียงอสนีบาตฟาดดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
แสงกระบี่สีม่วงที่ฟันลงมาจากด้านบนกลับประหนึ่งกระทบกำแพงล่องหน มันถูกดีดออกอย่างง่ายดาย ทำร้ายจี๋อิ่งที่อยู่กลางเปลวเพลิงสีเลือดไม่ได้แม้แต่น้อย
เพียงครู่เดียวที่เสียเวลาไปนี้ สองมือที่ตั้งท่าเคล็ดวิชาของจี๋อิ่งผู้อยู่กลางเปลวเพลิงโลหิตก็หยุด เขาอ้าปากกว้างสูดลมหายใจ ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีเลือดที่ล้อมอยู่รอบร่างก็โถมเข้าไปในปากของเขา
หลังจากนั้นเสียงหวีดแหลมยาวสายหนึ่งก็ดังออกมาจากปากของเขา ร่างกายฉับพลันขยายใหญ่ถึงสองจั้งในพริบตา ส่วนหัวกลายสภาพเป็นหัวหมาป่าสีครามที่มีเขี้ยวโค้งกับแผงคอน่าเกรงขามอย่างสมบูรณ์ แม้ร่างกายใหญ่โตแต่ก็ยังคงร่างมนุษย์ เพียงแต่กำยำกว่าเดิมขึ้นหนึ่งเท่า
“วิชาสภาวะคลั่ง…”
หลิ่วหมิงสัมผัสได้ถึงพลังปีศาจอันแข็งแกร่งไม่ธรรมดาที่แผ่ออกมาจากร่างของจี๋อิ่ง สายตาจึงฉายประกายบางอย่างออกมาในทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา