อู่หงมองผู้ฝึกฝนแซ่ซุน หลังจากเห็นเขาพยักหน้าเล็กน้อย นางจึงสะบัดมือส่งเคล็ดวิชาสองสายไปทางอินทรียักษ์
“ฟู่” “ฟู่” แสงสีเขียวสว่างขึ้นวูบหนึ่ง อักขระเคลื่อนบนกำไลกลมสีเขียวสองวงก่อนที่มันจะหายไปจากบนร่างอินทรียักษ์ แล้วปรากฏบนข้อมือสองข้างของหญิงสาวในอึดใจต่อมา
หลังจากนั้นร่างของอินทรียักษ์สีเทาพลันทอแสง ร่างกายมหึมาหดเล็กลงกลายเป็นร่างมนุษย์อย่างรวดเร็ว ทว่าสีหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย
“อาวุธจิตวิญญาณของอิงเจิน ขอคืนด้วย” สายตาของบุรุษจมูกอินทรีจับอยู่บนรังไหมสีเขียวด้านข้างแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
อู่หงได้ยินพลันหัวเราะคิกคัก นางยกมือสองข้างขึ้น กำไลกลมสองวงกระทบกันแผ่วเบา
“กริ๊ง!” เสียงใสดังกังวาน
รังไหมสีเขียวหยกกลางอากาศส่องสว่างเจิดจ้า เส้นไหมเรียวเล็กสีเขียวทั้งหมดทยอยลอกออกมาราวกับสาวไหมก่อนที่จะผสานเข้าไปในกำไลบนมือทั้งสองข้างของนางใหม่อีกครั้ง
หอกตะขอสีเงินทั้งสองเล่มหลุดจากพันธนาการ พวกมันส่งเสียงดังฟึบกลายเป็นแสงสีเงินสองสาย ถูกอิงเจินผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจชุดสีเทากวักเรียกกลับมา
อิงเจินถลึงตาใส่อู่หงอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะกลับไปยังฝั่งของตัวเองเมื่อบุรุษจมูกอินทรีส่งสัญญาณ
อู่หงก็เหาะกลับมาฝั่งมนุษย์ตามหลังผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเช่นกัน
“สหายอู่วิชาล้ำเลิศ ชวนให้คนนับถือจริงๆ”
“นับถือ นับถือ!”
ผู้คนต่างพากันประสานมือให้อู่หงพร้อมกับเอ่ยคำชม
แม้อู่หงไม่ใช่ศิษย์จากนิกายหรือตระกูล แต่นางอาศัยกำลังของตัวเองพลิกสถานการณ์ที่พ่ายแพ้อยู่จนนำชัยชนะครั้งแรกมายังฝั่งมนุษย์ได้ ทำให้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกนับถือ
อู่หงตอบอย่างไม่ใส่ใจสองสามประโยคแล้วนั่งขัดสมาธิ สนใจเพียงฟื้นพลังให้ตนเอง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ลอบสำรวจพลังเวทในร่างเล็กน้อย หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่งจึงกินโอสถลงไปอีกสองสามเม็ด จากนั้นเดินไปนั่งทำสมาธิไกลๆ
……
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
โอสถจินหยวนกับโอสถอื่นอีกสองชนิดทำให้พลังเวทในร่างเขาฟื้นคืนมาเกินครึ่ง พลังจิตที่เสียไปก็เติมเต็มขึ้นมาบ้างแล้ว
“สหายหลิ่ว เจ้าตื่นแล้วหรือ” ชายหนุ่มแซ่หลี่คนนั้นเห็นหลิ่วหมิงลุกขึ้นจึงก้าวเข้าไปหาแล้วเอ่ยทัก
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อยให้เขา ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง กลับมีเสียงพลังเวทปะทะกันรุนแรงดังลอยมาจากไกลๆ ดึงความสนใจของเขา เขาอดไม่ได้มองตามเสียงไป
ท้องฟ้าเหนือพื้นที่ว่างระหว่างเผ่ามนุษย์กับปีศาจ แสงสีขาวกับสีดำสองสายกำลังปะทะกันไปมาอย่างดุเดือด ลำแสงพุ่งไปรอบด้าน เสียงกึกก้องสะเทือนฟ้าดังออกมาเป็นระยะ
ผู้ฝึกฝนคนอื่นที่อยู่รอบด้าน นอกจากสองคนที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ คนที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนชมการต่อสู้บนท้องฟ้าอยู่อย่างเคร่งเครียด
“สหายหลี่ ตอนนี้สถานการณ์การประลองเป็นอย่างไรแล้ว” หลิ่วหมิงถามหลี่หย่งหงที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อครู่เพื่อฟื้นพลังเวทให้ได้เร็วที่สุด เขาจึงทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับการใช้วิชา นอกจากแบ่งสมาธิบางส่วนสังเกตสิ่งผิดปกติรอบตัวก็ไม่ได้สนใจสถานการณ์ของการประลองบนลานกว้าง
ทว่าเขายังสัมผัสได้เลือนรางว่าตนนั่งทำสมาธิมาราวสองชั่วยามแล้ว
“ตอนนี้การประลองเจ็ดรอบสู้กันไปแล้วหกรอบ ตอนนี้เหลือแต่สหายซุนประลองกับหัวหน้าเผ่าหมีเถื่อนตนนั้น” ชายหนุ่มแซ่หลี่มองบนท้องฟ้าแล้วเอ่ยเช่นนี้
“อ้อ? ก่อนหน้านี้ผลเป็นอย่างไรบ้าง?” หลิ่วหมิงได้ยินพลันสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม
“ไม่ดีนัก การประลองหกรอบ พวกเราฝั่งนี้มีเพียงสหายอู่หงกับสหายเยี่ยจากนิกายปีศาจลี้ลับที่ชนะได้สองรอบ แต่พวกเราก็แพ้ไม่น่าเกลียดนัก อย่างน้อยฉากหน้าก็นับว่าพอผ่านไปได้” ผู้ฝึกฝนแซ่หลี่ถอนหายใจ
หลิ่วหมิงไม่พูดอะไรอีก สายตากลอกรอบหนึ่งก็จับอยู่บนร่างทั้งสองคนที่อยู่กลางท้องฟ้า
ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนบนท้องฟ้ากำลังถึงของบางสิ่งที่ทอแสงเรืองๆ อยู่ในมือ ประกายแสงสีขาวสะดุดตายาวเฟื้อยเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในโรมรันกับบุรุษกำยำผิวดำของเผ่าหมีเถื่อนอย่างไม่ลดละ
เวลานี้บุรุษกำยำผิวดำเผยสภาพครึ่งปีศาจออกมาแล้ว ไม่เพียงทั้งศีรษะกลายเป็นหัวหมีดุร้าย ร่างกายยังมีขนแข็งหนาสีดำงอกออกมา อุ้งเท้าหมีหนาสองข้างตวัดตบ ส่งเงาอุ้งเท้าสีดำที่ชวนให้คนตาลายข้างแล้วข้างเล่าออกมา
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ บุรุษกำยำผิวดำตนนี้ไม่เพียงพลังเวทล้ำลึกอย่างยิ่ง กระบวนท่าก็ไม่ช้าเลย อาศัยเพียงอุ้งเท้าคู่หนึ่งก็ปะทะตรงๆ กับประกายแสงสีขาวที่พุ่งออกมาจากในมือผู้ฝึกฝนแซ่ซุนได้อย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่เข้าปะทะเกิดเสียงอสนีบาตดังกึกก้อง
แม้บุรุษกำยำผิวดำจู่โจมอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่ประกายแสงสีขาวที่ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนส่งออกมาก็แปรเปลี่ยนได้ไม่สิ้นสุด ไม่เพียงรับการโจมตีทั้งหมดของบุรุษกำยำผิวดำได้ แต่ยังไม่ตกเป็นรองอีกฝ่ายเลยสักนิด
หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแสงสีดำเลือนรางจึงมองเห็นสิ่งที่ทอแสงอยู่ในมือผู้ฝึกฝนแซ่ซุนชัด มันคือกระจกสี่เหลี่ยมขนาดหนึ่งฉื่อกว่าบานหนึ่ง ด้านหน้าของกระจกราบเรียบดั่งผิวน้ำ แสงสีขาวขยับเคลื่อนอยู่ด้านใน ส่วนด้านหลังวาดภาพสัญลักษณ์สรรพสัตว์และบุปผาไว้ เห็นไอมงคลชัดเจน
“กระจกผนึกแสง!” หลิ่วหมิงเอ่ยพึมพำ
“สหายหลิ่วรู้จักสมบัติชิ้นนี้ด้วย ไม่เสียทีเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ รอบรู้กว้างขวางจริงๆ!” ผู้ฝึกฝนแซ่หลี่ตกตะลึงจากนั้นก็ส่งสายตาชื่นชมมาให้
“ฮ่าๆ เคยได้ยินมาบ้างเท่านั้น” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ
“จะว่าไปแล้ว ข้าก็เคยได้ยินผู้อาวุโสในบ้านพูดถึงสมบัติชิ้นนี้ของสำนักเฮ่าหรานเหมือนกัน ได้ยินมาว่าแสงเทวะชำระล้างที่กระจกวิเศษนี้ส่องออกมาชำระล้างปราณปีศาจและไอปีศาจทั้งมวลได้ แม้ผู้ฝึกฝนเผ่าหมีเถื่อนนั่นจะพลังเวทมากกว่าสหายซุนขั้นหนึ่ง แต่ข้ากลับรู้สึกว่าโอกาสที่ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนจะชนะมีมากกว่าอยู่บ้าง” ผู้ฝึกฝนแซ่หลี่หัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยต่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา