หลิ่วหมิงออกจากยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์ได้ก็ไม่รั้งรอแต่อย่างใด เขาขี่กระบี่ตรงไปยังถ้ำที่พักของตนเอง
จะว่าไปแล้วเวลาหนึ่งปีนี้เขาไม่ได้นอนหลับสนิทเลยสักคืน เขาต้องการพักผ่อนดีๆ สักหน่อย นอกเหนือจากนี้เขายังต้องจัดการสิ่งที่ได้มาจากการเดินทางในเศษซากโลกบนครั้งนี้ให้ดีก่อนเพื่อจะได้วางแผนก้าวต่อไป
ระหว่างที่ในใจเขาครุ่นคิด กระบี่บินสีม่วงใต้เท้าก็มาถึงท้องฟ้าเหนือยอดเขาถ้ำที่พักของเขา
เมื่อเขาได้สติกลับมาก็เห็นเงาร่างอรชรของสตรีนางหนึ่งยืนสะโอดสะองอยู่นอกถ้ำที่พักของเขาแต่ไกล ดูจากท่าทางเหมือนจะรอคอยมานานแล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ลมปราณของหญิงสาวผู้นี้เขาไม่มีทางคุ้นเคยไปมากกว่านี้อีกแล้ว นางคือเจียหลานนั่นเอง
“ศิษย์น้องเจียหลาน” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียกคำหนึ่งจากบนท้องฟ้า พร้อมกับที่แสงกระบี่ดับลงแล้วร่อนลงมายังปากทางเข้าถ้ำที่พัก
เจียหลานได้ยินเสียงหลิ่วหมิง เรือนร่างงามก็ขยับเล็กน้อย ดวงหน้างามหันมา หลังจากเห็นหลิ่วหมิงก็แย้มยิ้ม
“พี่หลิ่ว ท่านกลับมาแล้ว”
นี่ดูเหมือนคำทักทายปกติทั่วไป แต่กลับทำให้หลิ่วหมิงอบอุ่นในอก ความรู้สึกอ่อนโยนเกิดขึ้นในใจจนอดไม่ได้ก้าวเข้าไปกางสองแขนกอดนางเข้ามาไว้ในอ้อมอก
เจียหลานคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจู่ๆ จะกอดตน นางตัวสั่นเล็กน้อย สองแก้มแดงก่ำ แต่ไม่ได้ดิ้นหนี
“ศิษย์น้องเจียหลาน ข้า…” หลิ่วหมิงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียกิริยาไปจึงรีบปล่อยมือทั้งสองข้างออก แล้วคิดจะเอ่ยปากอธิบาย
“พี่หลิ่วจากไปนานหนึ่งปีเต็ม หลายเดือนก่อนหน้านี้ได้ยินว่าศิษย์พี่จินผู้นำคณะเดินทางถูกเคลื่อนย้ายออกจากเศษซากโลกบนกะทันหันเพราะสาเหตุบางประการ ข้าสืบถามหลายครั้งกว่าจะรู้ว่าการเดินทางไปแดนลับเศษซากโลกบนครั้งนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นหลายครั้ง อันตรายยิ่งนัก…หลายวันนี้เดิมทีเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ควรเก็บตัวทะลวงเข้าสู่ขั้นปลาย แต่ข้าไม่อาจสงบใจได้ จึงเลิกเก็บตัวแล้วมารอพี่หลิ่วกลับมาที่นี่” ไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะเอ่ยจบ เจียหลานก็ก้มหน้าอธิบาย แต่ในดวงตาเหมือนมีแววตัดพ้อแฝงอยู่
“ปล่อยให้ศิษย์น้องกังวลแล้ว” คำพูดของเจียหลานยิ่งทำให้หลิ่วหมิงเกิดความเอ็นดู
“ข้ารู้ว่าศิษย์พี่น่าจะเหน็ดเหนื่อย รีบกลับถ้ำที่พักไปพักผ่อนสักหน่อยเถิด ข้าจะไปเดินเล่นที่อื่นคนเดียวผ่อนคลายจิตใจสักหน่อย หลังจากนั้น…หลังจากนั้นก็จะกลับแล้ว” เจียหลานได้ยินคำนี้ฟันขาวพลันกัดริมฝีปากแดงแผ่วเบา แล้วเอ่ยออกมาเช่นนี้
“หากศิษย์น้องไม่รังเกียจ ผู้แซ่หลิ่วยินดีไปเป็นเพื่อน” หลิ่วหมิงฟังจบก็โพล่งออกมาราวกับมีเทพดลใจ
นับตั้งแต่วันนั้นที่ร่วมอภิรมย์กับเหยาจีในเศษซากโลกบน เขาก็เหมือนเปิดโลกเกี่ยวกับเรื่องชายหญิง
“ได้ ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนพี่หลิ่วแล้ว”
เจียหลานได้ยินแรกสุดก็ตกตะลึง ทว่าจากนั้นก็พยักหน้ารัวอย่างยินดี
หลิ่วหมิงไม่พูดพร่ำยกแขนเสื้อขึ้นมาทันที เมฆดำก้อนหนึ่งยกทั้งสองคนขึ้นเหาะไปยังเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
หลายวันต่อจากนั้นไม่ว่าบนทางเดินคดเคี้ยว ธารน้ำสายน้อย หรือศาลาบนเขา ม่านน้ำถ้ำน้ำตก ล้วนเห็นเงาของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีปรากฏอยู่
หลิ่วหมิงเหมือนจะลืมเรื่องราวทุกสิ่งในโลกไป เพียงเที่ยวชมขุนเขาลำธาร ลิ้มรสชาถกปัญหาธรรมท่ามกลางทิวทัศน์งดงามของเทือกเขาหมื่นวิญญาณแห่งนี้อย่างตามใจ
จะว่าไปแล้วเทือกเขาหมื่นวิญญาณแห่งนี้เดิมทีก็เป็นแดนสวรรค์ที่มีภูมิทัศน์ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง ขุนเขามหึมาตั้งตระหง่าน ยอดเขานับพันเรียงซ้อนกัน กระเรียนขาวโบยบิน ปราณสีม่วงลอยละล่อง เป็นทิวทัศน์ของแดนสวรรค์อันเขียวขจี อบอวลกลิ่นบุปผาและเต็มไปด้วยเสียงสกุณาร่ำร้องแห่งหนึ่ง
ความรู้สึกระหว่างทั้งสองคนเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในสายตาของศิษย์คนอื่น ทั้งสองคนนี้ก็เป็นเหมือนคู่รักเทพเซียนมานานแล้ว นี่จึงทำให้ศิษย์ชายที่เดิมมีใจให้เจียหลานจำนวนหนึ่งทั้งอิจฉาทั้งริษยา แต่ไม่อาจทำอันใดได้
หลังจากซาทงเทียนเห็นเรื่องระหว่างหลิ่วหมิงกับเจียหลานกับตาตนก็ตัดใจได้อย่างเด็ดขาด หมกตัวอยู่ในหอเก็บคัมภีร์ของนิกาย
อย่างไรเสียเรื่องที่หลิ่วหมิงทำผลงานได้ยอดเยี่ยมระหว่างการเดินทางบนเศษซากโลกบน ตั้งแต่วันนั้นที่ทุกคนกลับมาก็เล่าลือกันไปทั่วนิกายแล้ว ชื่อเสียงอันดับหนึ่งของนิกายสายในยิ่งมั่นคงอย่างที่สุด ไม่มีใครสงสัยอีกต่อไป
ถึงขั้นมีถ้อยคำลือกันว่าระดับสูงของนิกายตัดสินใจแล้วว่าทันทีที่เขาเข้าสู่ระดับแก่นแท้จะรับเขาเข้าสู่วังเจดีย์ของนิกาย กลายเป็นศิษย์ลับ
……
วันนี้บนทุ่งหญ้ากว้างที่ตีนเขาแห่งหนึ่งหลิ่วหมิงกับเจียหลานนั่งเคียงไหล่พิงก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่งอยู่
“พี่หลิ่ว ยามนั้นบนแผ่นดินอวิ๋นชวน ท่านเคยช่วยเหลือข้าหลายต่อหลายครั้ง แม้ข้ากลับไปยังเผ่าเจ้าสมุทรแล้วก็ไม่ได้มองข้าเป็นศัตรู…หรือว่านับตั้งแต่ตอนนั้นท่านก็ไม่ได้มีแค่ไมตรีฉันท์ศิษย์พี่ศิษย์น้องธรรมดากับข้า?” เจียหลานจู่ๆ ก็กะพริบตาเอ่ยถามหลิ่วหมิงเสียงเบา
“ข้า…” หลิ่วหมิงใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ชั่วขณะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
เจียหลานเห็นหลิ่วหมิงเกาหูเกาหัวอยู่เนิ่นนานจึงยิ้มหวานเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“ยามนั้นท่านต่อสู้เดิมพันแทนข้า ท้าสู้กับพี่น้องตระกูลเวิน เหตุใดจึงรับปากข้า? หลังจากนั้นท่านประมุขหมั้นหมายพวกเรา ท่านก็ไม่ออกปากปฏิเสธ ในใจท่านน่าจะมีข้าอยู่ในนั้นบ้างกระมัง?”
“ศิษย์น้องเจียหลาน ที่จริง…” หลิ่วหมิงมีสีหน้าลำบากใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยอะไรออกมานั่นเอง ทันใดนั้นเสียงครวญก็ดังออกมาจากป้ายตรงเอวของเจียหลาน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ยุติการแปลเนื่องจากสิ้นสุดระยะสัญญา