ท่านประธานจอมเฮี๊ยบกับยัยหวานใจสุดที่รัก นิยาย บท 859

หยกอาถรรพ์ถูกตระกูลฟลินเดอร์ยึดครองไปเหรอ?

นี่...เป็นไปได้ยังไง?

ทั้งวิกกี้และเกรกอรีต่างตกก็ตะลึงเป็นอย่างมาก

ในท้ายที่สุด ความขัดแย้งในครั้งนั้น ไม่มีวี่แววของความเกี่ยวข้องของตระกูลฟลินเดอร์เลย จึงไม่มีใครเคยคาดคิดว่าหยกอาถรรพ์จะตกไปอยู่ในมือของพวกเขา

พวกเขาเป็นต้นเหตุของการทะเลาะวิวาทในตอนนั้น และทำให้สถานการณ์ดูเหมือนว่า การทะเลาะวิวาทได้เริ่มต้นขึ้นโดยผู้ทรยศในองค์กรนกหงส์หยกหรือเปล่า?

ไม่ มันเป็นไปไม่ได้!

เกรกอรี เกรแฮม และ ชิม่อน ฟลินเดอร์ หัวหน้าตระกูลฟลินเดอร์ค่อนข้างที่จะสนิทสนมกัน ในตอนนั้นยังไม่มีการแข่งขันทางธุรกิจใด ๆ ดังนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงใกล้ชิดกันมากขึ้น

ถ้าหากว่าตระกูลฟลินเดอร์มีส่วนร่วมจริง ก็เป็นไปไม่ได้ที่เกรกอรีจะไม่สังเกตเห็น

และถ้าหากว่าไม่ใช่พวกเขาที่เป็นฝ่ายเข้าไปแทรกแซงในตอนนั้น และชิ้นส่วนนั้นก็ไม่ตกอยู่ในมือของพวกเขา ถ้าเช่นนั้น เป็นไปได้ไหมว่าจะมีหยกอาถรรพ์ชิ้นที่สองอยู่บนโลกใบนี้?

จู่ ๆ วิกกี้ก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่ทำให้เธอหนาวสั่น

เธอหันไปมองที่เกรกอรี แต่เห็นว่าใบหน้าของชายผู้นั้นดูมืดมนลงและไม่พอใจในเวลาเดียวกัน

มัสซิโม โนแลนสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับทั้งสองคน เขาจึงถามขึ้นว่า “พวกนายเป็นอะไรไป? ทำไมมีท่าทางแปลก ๆ”

วิกกี้ส่ายหน้าและพูดว่า “เปล่า”

เธอหยุดคิดและกล่าวเสริมว่า "เล่าต่อสิ”

“โอ้"

มัสซิโมไม่รู้ว่าทั้งสองคนกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงมองดูทั้งสองคนด้วยความสับสน ในขณะที่เขาพูดต่อ

“ในตอนที่เขามาหาเราครั้งแรกเพื่อต้องการเช่าสถานที่จัดงาน เขายื่นข้อเสนอว่า เขาไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนเนื่องจากว่ามันเป็นธุรกิจ ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญว่าเขาต้องการอะไร เพราะสิ่งที่สำคัญคือ เขาจะจ่ายหรือไม่เท่านั้น ส่วนเรื่องรายละเอียดอื่น ๆ เราไม่ได้สนใจมัน ดังนั้นทางเราจึงตอบตกลง

“แต่พอมาคิดดูแล้ว ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งสงสัย พวกนายไม่คิดเหมือนฉันหรือว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนจัดงานประมูลขึ้นมา มันก็เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง และชื่อเสียงของตระกูลเหล่านั้น แต่ว่าทำไมตระกูลฟลินเดอร์จึงไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตน จะมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นในการประมูลครั้งนี้หรือไม่? หรือที่พวกเขาจัดการประมูลขึ้นมาก็เพื่อต้องการที่จะแบ่งปันวัตถุโบราณให้กับผู้ประมูล หรือว่าพวกเขาอาจจะมีแรงจูงใจที่ซ่อนเร้นอยู่?”

พวกเขาต้องยอมรับว่า ถึงแม้ว่ามัสซิโมจะไม่รู้ความจริงของเรื่องนี้ แต่การวิเคราะห์ของเขาก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล

มันเป็นการวิเคราะห์ที่ค่อนข้างดี

วิกกี้และเกรกอรีและเข้าใจว่า ทำไมตระกูลฟลินเดอร์จึงไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนของพวกเขา จริง ๆ แล้วมันไม่ได้มีแรงจุงใจที่ซ่อนเร้น

แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่า หยกอาถรรพ์นี้ได้ถูกนำไปโดยพวกเขา

เป็นที่ทราบกันดีว่า หยกอาถรรพ์สามารถทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ด้วยตำนานที่เล่าต่อกันมาก็แทบจะยืนยันสรรพคุณของมันแล้ว

ถึงแม้ว่าคนทั่วไปจะยังสงสัยเกี่ยวกับความจริงของข่าวลือนี้ แต่ในฐานะมนุษย์ มีใครบ้างที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะ? มีใครบ้างที่จะไม่อยากเป็นเจ้าของสมบัติที่สามารถนำคนตายกลับคืนมาได้?

สิ่งล่อใจนี้ยิ่งใหญ่เกินไปในทุกยุคทุกสมัย แม้แต่จักรพรรดิเองก็ยังไม่สามารถหลีกหนีความปรารถนาเหล่านั้นได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนธรรมดา

ดังนั้นถึงแม้ว่าทุกคนจะสงสัยเกี่ยวกับข่าวลือนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถซ่อนความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาเอาไว้ได้

ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคนต้องการที่จะต่อสู้ในการประมูลเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง และนำมันกลับบ้านไปเพื่อทดลอง และดูว่ามันมีประสิทธิภาพอย่างน่าอัศจรรย์เหมือนในตำนานหรือไม่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีโอกาสเพียง 1 ใน 10 ล้านก็ตาม

พวกเขาต้องยอมรับว่าตระกูลฟลินเดอร์เคลื่อนไหวได้ดีทีเดียว

ราวกับว่าพวกเขารู้จุดอ่อนของมนุษย์ พวกเขาสามารถทำให้เกิดความโกลาหลได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม

วิกกี้อารมณ์เสียเล็กน้อย

ในขณะที่คิ้วของเกรกอรียังคงขมวดอยู่ เขาไตร่ตรองถึงเจตนารมณ์ของฟลินเดอร์ในการทำเช่นนั้น

มีเหตุผลที่จะพูดว่า ตระกูลของพวกเขามีฐานะที่ต่ำต้อยมานานหลายปี และพวกเขาเองก็ไม่ชอบทำให้มันโจ่งแจ้ง

อย่างไรก็ตาม ตระกูลฟลินเดอร์อยู่ในจุดสูงสุดของอำนาจแล้ว ดังนั้นพวกเขาจะไม่ทุ่มเทเพียงเพื่อชื่อเสียงและโชคลาภเท่านั้น

แล้วในตอนนี้พวกเขาต้องการอะไร?

คำถามเดียวกันนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของวิกกี้

ย้อนกลับไปในตอนที่กองทหารมังกรและองค์กรนกหงส์หยกมีความขัดแย้งกัน หลังจากเรื่องนั้นจบลง กองทหารมังกรก็ได้แยกทางกัน ถ้าหากว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจากตระกูลฟลินเดอร์จริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นตระกูลฟลินเดอร์ก็ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตขององค์กรนกหงส์หยกหรือกองทหารมังกรเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็ยังไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรจากมันอีกด้วย

แล้วมันคืออะไร?

พวกเขายังคงรู้สึกสับสน

มัสซิโมไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าเขาไม่ได้มาจากแวดวงนี้ แม้ว่าตระกูลโนแลนจะมีอำนาจมากในพื้นที่ท้องถิ่นก็ตาม แต่อำนาจของพวกเขาก็ถูกจำกัดในโลกของธุรกิจเช่นกัน

เมื่อเขาเห็นว่าทั้งสองคนยังคงขมวดคิ้ว เขาจึงพูดหยอกล้อว่า “พวกนายไม่ได้กลัวที่ฉันพูดใช่ไหม ฮ่าฮ่า ฮ่า! อย่าไปสนใจเลย ฉันแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นเอง หรืออาจจะเป็นเหตุผลอื่นก็ได้ อย่างเช่น พวกเขาอาจจะไม่ชอบทำตัวให้โจ่งแจ้ง”

เมื่อควินซี่สังเกตเห็นความผิดปกติของพวกเขาทั้งสองคน โดยธรรมชาติแล้วผู้หญิงจะมีความอ่อนโยนมากกว่าผู้ชาย

ดังนั้นเธอจึงถามด้วยความเป็นห่วง

“วิกกี้ เกรกอรี มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”

วิกกี้เงยหน้าขึ้นมองเธอและส่ายหน้า

“ไม่มีอะไร เราเพียงแค่คิดว่ามันอาจจะมีแรงจูงใจ และรู้สึกว่ามันแปลก ๆ อย่างที่มัสซิโมพูด”

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาควรจะกังวล

และมันก็เป็นการดีกว่าที่พวกเขาจะไม่รู้

เพราะถ้าหากว่านี่คือแผนการของตระกูลฟลินเดอร์จริง ๆ คู่ต่อสู้ก็น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน เนื่องจากว่าตระกูลโนแลนทำธุรกิจขาวสะอาดมาโดยตลอด และปฏิเสธที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับความสกปรกของแวดวงนี้เสมอมา ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ลากพวกเขาลงไปในโคลน

เกรกอรีมีความคิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อทันที

“ฉันได้ยินมาว่าคุณลุงขอให้นายเข้ารับตำแหน่งประธานเมื่อหลายวันก่อนใช่ไหม?”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ มัสซิโมก็พยักหน้าและตอบว่า “ใช่แล้ว เดิมทีบรรดาญาติ ๆ ของตระกูลโนแลนต่างก็ไม่พอใจ เพราะพวกเขาคิดว่าฉันยังอายุน้อย และพวกเขาก็ยังคิดว่า ที่ฉันสามารถยึดครองอำนาจของบริษัทได้ก็เป็นเพราะว่าฉันเป็นลูกชายของพ่อ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอม”

เกรกอรียิ้มตอบ ในขณะที่เขาชนแก้วไวน์ของเขากับมัสซิโม

"ยินดีด้วย"

มัสซิโมเองก็รู้สึกภูมิใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะเป็นประธานบริษัท แต่ที่บริษัทประสบความสำเร็จได้นั้นก็เป็นเพราะความร่วมของทุกคน

เขารู้มาโดยตลอดว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาจะต้องไม่พอใจ เพราะพวกเขาคิดว่าเขาไร้ความสามารถ และโชคดีที่เขาเกิดมาถูกครอบครัว ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์รับช่วงต่อของบริษัท

อย่างไรก็ตาม มัสซิโมเองก็ทำงานหนักมากเช่นกัน และเขาเองก็ไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่คนเหล่านั้นคิดว่าเขาเป็น ดังนั้นเขาจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการตอบสนองที่ดีในครั้งนี้

เกรกอรีและมัสซิโมยกแก้วขึ้นชนกัน จากนั้นพวกเขาก็ดื่ม

ในขณะนั้น มีพนักงานเดินเข้ามาขอให้เกรกอรีเซ็นใบเรียกเก็บเงิน

พวกเขาถือห่อชุดเกราะไหมสีทองที่เกรกอรีประมูลได้มาอยู่ เกรกอรีจะต้องเซ็นชื่อ และโอนเงินเพื่อนำสิ่งของที่เขาประมูลได้กลับไป

หลังจากที่เกรกอรีเซ็นใบเรียกเก็บเงินแล้ว พนักงานก็รีบส่งของให้เขา

เกรกอรีไม่ได้กังวลว่าคนเหล่านี้จะกล้ายุ่งเกี่ยวกับสิ่งของของเขา ดังนั้นเขาจึงบอกให้พนักงานมอบมันให้กับฮาโรลด์ซึ่งยืนอยู่ด้านนอก

พนักงานได้รับคำสั่งและจากไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ท่านประธานจอมเฮี๊ยบกับยัยหวานใจสุดที่รัก