พวกเขาทั้งสี่ยืนอยู่ภายนอกห้องโถงและพูดคุยกันอยู่นาน ก่อนที่ครึ่งหลังของการประมูลจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง จากนั้นพวกเขาก็กลับเข้าไป
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว พวกเขาก็เริ่มการประมูลอีกครั้ง
วัตถุโบราณในช่วงครึ่งหลังของการประมูลนั้น มีค่ามากกว่าในช่วงครึ่งแรกเป็นอย่างมาก
มีภาพวาดของปรมาจารย์ในสมัยโบราณ ตราประทับหยกของจักรพรรดิที่สูญหายไปนับพันปี และยังรวมไปถึงคทาที่ราชวงศ์ยุโรปเคยใช้
พวกเขามีสมบัติที่หายากและแปลกใหม่ทุกประเภท และยังไม่มีที่สิ้นสุด
อาจเป็นเพราะใกล้จะถึงช่วงเวลาของการประมูลสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ล้ำค่าที่สุดแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงดูกระวนกระวายมากขึ้น
พวกเขาไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่วัตถุโบราณชิ้นก่อนหน้านี้อีกต่อไป พวกเขาเพียงแค่กลั้นหายใจ รออย่างเงียบ ๆ ให้สมบัติชิ้นสุดท้ายปรากฏขึ้น
แน่นอนว่ามัสซิโมเองก็เคยได้ยินถึงเรื่องสมบัติชิ้นสุดท้ายนี้เช่นกัน เขามีความรู้สึกอยู่คร่าว ๆ ว่า วิกกี้และเกรกอรีอาจจะมีความคิดเห็นเช่นเดียวกันกับเขา
เขาหันกลับมาหาควินซี่และพูดว่า "ฉันคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับการทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้นั้นเป็นเรื่องโกหก ถ้าหากผู้คนจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้จริง ๆ มันจะไม่ทำให้พวกเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดอมตะที่แก่ชราเหรอ?"
ควินซี่มองเขาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ถ้าการเป็นสัตว์ประหลาดแต่ทำให้คนเป็นอมตะก็คงจะไม่สำคัญ แต่ประเด็นสำคัญคือจะต้องไม่แก่ นายไม่ต้องการเช่นนั้นเหรอ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมัสซิโมแข็งทื่อ
เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น เขาก็ส่ายหน้าอยู่ซ้ำ ๆ
“ฉันไม่ต้องการ”
ควินซี่แสดงสีหน้าไม่ค่อยเชื่อถือออกมา
มัสซิโมแสดงท่าทางที่จริงจังและพูดว่า “ท้ายที่สุดแล้ว สมบัติชิ้นนี้ก็มีเพียงแค่ชิ้นเดียว และมันก็อาจจะสามารถรับประกันความเป็นอมตะของคนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น จะมีประโยชน์อะไรถ้าหากว่าฉันเป็นคนเดียวที่สามารถใช้มันได้ ในขณะที่ทุกคนที่ฉันรู้จักในโลกนี้ตายจากไปและเหลือฉันไว้เพียงคนเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…”
เขาหยุดพูดไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ "ต่อให้เธอจะให้เวลาฉันอีกเป็นหมื่นปี แต่ฉันก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่มีเธอ”
ควินซี่ตกตะลึงในทันที
ราวกับว่าร่างกายของเธอได้ถูกแช่แข็ง
เธอมองไปที่เขาอย่างเงียบงัน แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในบรรยากาศที่มืดมิด แต่ดูราวกับว่าพวกเขากำลังมองเห็นคำพูดนับพันในสายตาของกันและกัน
เธอดูอึดอัดเล็กน้อย เธอจึงหันหน้ากลับและพูดว่า "เอาล่ะ พอได้แล้ว"
ถ้าเขาพูดอีกครั้ง เธออาจจะตกลงยอมที่จะคบกับเขาก็ได้
แต่มัสซิโมไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เขาเพียงแค่คิดไปเองว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมันอาจจะมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงกระซิบเบา ๆ ว่า “ฉันขอโทษ”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ในที่สุดเขาก็ยังคงไม่ยอมแพ้และพูดต่อว่า “แต่ฉันพูดจริง ๆ นะ”
เมื่อมีเพียงความเงียบเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรอีก
ควินซี่เองก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน
ในขณะนี้ การประมูลวัตถุโบราณชิ้นก่อนหน้านี้ใกล้จะสิ้นสุด
ในที่สุด ก็ถึงเวลาที่วัตถุโบราณชิ้นสุดท้าย ‘หยกอาถรรพ์’ ที่ทุกคนรอคอยกำลังจะปรากฏขึ้น
วิกกี้รู้สึกได้ว่า ตั้งแต่ที่พิธีกรเริ่มแนะนำรายการนี้ ฝูงชนก็เงียบลงไปในทันใด บรรยากาศถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ จนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มที่ตกกระทบลงบนพื้น
ฝูงชนต่างก็กลั้นหายใจรอให้หยกอาถรรพ์ปรากฏขึ้น
หลังจากที่พิธีกรแนะนำวัตถุโบราณชิ้นนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเธอก็ประกาศขึ้นว่า
“ขอต้อนรับวัตถุโบราณชิ้นสุดท้ายของเราขึ้นสู่เวที ‘หยกอาถรรพ์’ ที่ถือได้ว่าเป็นสมบัติที่หายากที่สุดที่สามารถทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้!”
เมื่อเสียงของพิธีกรเงียบลง ม่านด้านข้างของเวทีก็ถูกเปิดออก จากนั้นพนักงานที่ติดอาวุธสองคนก็ผลักตู้โชว์กระจกขึ้นไปบนเวที
ตู้โชว์กระจกสูง 1.5 เมตร แต่ความสูงก็พอดีสำหรับผู้ชมที่เข้าร่วมการประมูล
ที่ตรงกลางของตู้โชว์กระจก มีหยกหนึ่งชิ้นที่งดงาม
ตัวของหยกเป็นสีขาว มีลักษณะเหมือนคริสตัลโปร่งแสง เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความโค้งมนเล็กน้อยและมีความหนาเพียงแค่ 3 ถึง 4 มิลลิเมตร
มันเป็นเพียงแค่หยกชิ้นเล็ก ๆ ที่วางอยู่ตรงกลางตู้โชว์กระจก แต่มันกลับดึงดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
พิธีกรเริ่มแนะนำความเป็นมาและผลกระทบของมัน แต่วิกกี้และเกรกอรีรู้ดีว่า หยกชิ้นนั้นเป็นชิ้นที่ก่อให้เกิดสงครามระหว่างกองทหารมังกรและองค์กรนกหงส์หยก
แน่นอนว่าเธอไม่ได้คิดผิด!
นั่นเป็นเพราะว่าในตอนแรก ทั้งสององค์กรได้ต่อสู้กันเพียงเพราะแค่หยกชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นนี้ จนสถานการณ์เลวร้ายลงในที่สุด
ดวงตาของวิกกี้หรี่ลง ในขณะที่ใบหน้าของเกรกอรีเองก็มืดลงเช่นกัน จากนั้นทั้งคู่ก็ชูป้ายประมูลขึ้นพร้อมกัน
“80 ล้าน!”
การเปิดการประมูลด้วยราคานี้ เป็นราคาที่สูงสุดของคืนนี้แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีคนต่อสู้กับราคาประมูลด้วยราคาที่สูงขึ้นในทันที
“85 ล้าน!”
“90 ล้าน!”
“95 ล้าน!”
อย่างที่รู้กันดีว่าวัตถุโบราณชิ้นนี้เป็นชิ้นที่หายากมาก และเนื่องจากผลลัพธ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสมบัติที่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต้องการ
ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของราคาก็ค่อนข้างสูงเช่นกัน ที่อย่างน้อย 5 ล้านดอลลาร์ต่อการสู้การประมูล
แน่นอนว่ามันไม่ใช่ตัวเลขที่ต่ำสำหรับครอบครัวธรรมดาทั่วไป หรือแม้แต่ครอบครัวที่มีฐานะปานกลางจนถึงครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยกว่า
แต่ทว่าตัวเลขเหล่านั้นไม่ได้มีผลต่อคนเหล่านี้เลย
ดังนั้นการประมูลจึงรุนแรงยิ่งขึ้น
เนื่องจากวิกกี้และเกรกอรีเสนอราคาประมูลเพียงแค่ครั้งเดียวในตอนแรก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ต่อสู้การประมูลอีก
มัสซิโมมองเห็นได้ว่า พวกเขาต้องการวัตถุโบราณชิ้นนี้เป็นอย่างมาก เขาจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้เสนอราคาต่อ
มัสซิโมสนับสนุนพวกเขาจากด้านข้างและพูดว่า "ทำไมพวกนายไม่เสนอราคาสู้แล้วล่ะ? ตาเฒ่าพวกนี้ช่างเย็นชาและโหดเหี้ยม ถ้าหากพวกเขาได้มันไปครอบครองจริง ๆ จะทำยังไง?”
ทั้งสองคนเพิกเฉยต่อเขาและดูเย็นชา ในขณะที่พวกเขาจ้องไปที่เวที ในเวลานี้ราคาได้เพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านดอลลาร์แล้ว และด้วยราคานั้น หลายคนต่างก็เริ่มที่จะถอยออกมา
เพียงเพราะข่าวลือที่ว่า มันสามารถทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้
อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นมีความเฉลียวฉลาด แล้วพวกเขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าการเป็นอมตะและการฟื้นคืนชีพจากความตายนั้นเป็นเพียงแค่จินตนาการที่ผู้คนสร้างขึ้น
ในความเป็นจริง เซลล์ภายในร่างกายของมนุษย์จะค่อย ๆ แก่ตัวขึ้นเมื่อผู้คนมีอายุมากขึ้น แล้วมนุษย์จะเป็นอมตะได้ยังไง?
ในตอนแรก ทุกคนเพียงแค่ต้องการที่จะลองเสี่ยงโชคเพื่อการครอบครองสมบัติชิ้นนี้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาในการประมูลยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็น 500 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นหลายคนจึงเริ่มถดถอย
แม้ว่ามันจะเป็นการดีที่จะได้เดิมพันเพื่อสมบัติอันล้ำค่าก็ตาม
แต่ถ้าหากว่าเงินเดิมพันนั้นสูงเกินไป แต่วัตถุชิ้นนั้นกลับไม่ได้ผล การจ่าย 500 ล้านดอลลาร์เพื่อหยกชิ้นหนึ่งก็จะกลายเป็นเพียงแค่เรื่องตลก
และในตอนนี้ ราคาก็พุ่งสูงถึง 800 ล้านแล้ว และเหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่กำลังต่อสู้ราคากัน
ผู้ที่กำลังต่อสู้การประมูลคือ คลินตัน ที่ได้ทักทายเกรกอรีก่อนหน้านี้ และอีกคนเป็นชาวต่างชาติที่มีดวงตาสีฟ้าและผมสีบลอนด์
มัสซิโมกังวลมาก เมื่อได้เห็นว่าเกรกอรีและวิกกี้ยังคงไม่เคลื่อนไหว
เขากลัวว่ามันจะต้องไปอยู่ในมือของคลินตันจริง ๆ และจะทำให้อีกฝ่ายพูดจาโอ้อวดกับพวกเขา ดังนั้นมัสซิโมจึงพูดอย่างเร่งรีบว่า "เกรกอรี ที่นายไม่ต่อสู้เป็นเพราะเงินนายไม่พอหรือเปล่า? ถ้านายมีเงินไม่พอบอกฉันได้เลย เดี๋ยวฉันให้ยืม จะเอาเท่าไรก็ได้เอาไปเลย บ้าจริง นายต้องกดเขาลง!"
เกรกอรีมองดูมัสซิโมราวกับว่ากำลังมองดูบุคคลที่สติปัญญาไม่ดี
มัสซิโมงุนงง
ในที่สุด ควินซี่ก็ดึงแขนเสื้อของมัสซิโมแล้วพูดกับเขาว่า “สองคนนั้นยังคงต่อสู้ราคากันอยู่เลย แล้วนายจะรีบร้อนไปทำไม? ในเมื่อพวกเขายังคงต่อสู้กันอยู่ เดี๋ยวถึงเวลา นายน้อยเกรแฮมก็จัดการเองนั่นแหละ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ท่านประธานจอมเฮี๊ยบกับยัยหวานใจสุดที่รัก