บทที่ 126 ตระกูลย่อย
“ทุกคนเงียบเสียงแล้วฟังข้า”
จินเฟิงยกมือขึ้น จากนั้นทั้งโรงอาหารก็เงียบลงอีกครั้ง
คราวนี้ไม่มีใครซ่อนตัวอยู่และพึมพำอีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดมองไปที่จินเฟิงด้วยสายตาคาดหวัง
“ปัญหาไม่ใช่เพราะการทำงานของพวกเจ้า แต่เป็นเพราะพวกโจร”
จินเฟิงกล่าวว่า “พี่เถี่ยจือเข้าไปในอำเภอเพื่อส่งสินค้าและเมื่อวานนี้เขาได้พบกับโจรในถงซาน พวกเขาถูกดักปล้นเกวียนและของทั้งหมดไป ตอนนี้เรามีเก๋อหมาอยู่ในโกดังพอใช้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น ข้าเลยมาแจ้งระงับการทำงานก่อน แล้วพวกเราจะเริ่มงานกันใหม่หลังจากที่ทำข้อตกลงกับพวกโจรแล้ว”
เมื่อถังตงตงได้ยินสิ่งที่จินเฟิงพูด นางก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง
จินเฟิงพูดในตอนบ่ายว่าเขาจะไม่เจรจากับพวกโจร แต่เหตุใดจู่ ๆ ถึงพูดแบบนั้น?
แต่ถังตงตงรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาถาม นางระงับความอยากรู้อยากเห็นและคิดว่าเมื่อการประชุมสิ้นสุดลงนางจะลองถามเขาอีกที
“จินเฟิง แล้วจะเจรจาได้เมื่อใดหรือ?” ซานเสิ่นจือเอ่ยถาม “เพราะสมาชิกทุกคนในครอบครัวข้าล้วนทำงานในโรงงาน”
“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าไม่รู้เสียหน่อยว่าพวกโจรนั้นมีนิสัยอย่างไร? ข้าเองก็มิอาจรับปากได้ว่าจะใช้เวลากี่วัน”
จินเฟิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “อีกทั้งคราวนี้พวกโจรก็แข็งแกร่งมาก พวกเขาไม่เพียงแต่ปล้นสิ่งของเท่านั้น แต่ยังทุบตีพี่เถี่ยจือและคนอื่น ๆ ด้วย หู่จือได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกระดูกโผล่พ้นเนื้อออกมา ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายจะเจรจาสำเร็จหรือไม่ ทุกคนกลับไปรอข่าวคราวก่อนเถิด ถ้ากลับมาเริ่มงานได้ข้าจะแจ้งให้ทราบอีกที”
“พวกโจรนี่ทำเกินไปจริง ๆ!”
ชาวบ้านคนหนึ่งสาปแช่ง “จินเฟิง ข้าได้ยินมาว่าในถงซานมีโจรไม่มากนัก เหลียงจื่อนำคนหลายสิบชีวิตมาฝึกที่ภูเขาด้านหลังมิใช่หรือ? เหตุใดเราไม่นำกำลังคนไปต่อสู้กับโจรกลุ่มนี้เล่า?”
“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าค่าจ้างของเหลียงจื่อและคนอื่น ๆ ค่อนข้างสูง จินเฟิงเลี้ยงดูพวกเขาเพื่อให้ต่อสู้กับโจร เหตุใดเมื่อมีเหตุเกิดขึ้นจึงไม่ส่งพวกเขาไป?”
“จะเพราะเหตุใดเล่า ก็คงกลัวน่ะสิ!”
“ขี้ขลาด!”
“เหลียงจื่ออยู่ที่ใด? ให้คำอธิบายแก่เราหน่อยสิ!”
ชาวบ้านหลายคนระบายความโกรธต่อจางเหลียงและทหารผ่านศึกที่รักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณใกล้เคียง
“เงียบ!”
จินเฟิงหยิบฆ้องที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาเคาะอย่างแรงหลายครั้ง “อย่าตำหนิพี่เหลียง ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากไป ข้าไม่ยอมให้พวกเขาไปเอง”
นี่ไม่ใช่คำโกหกของจินเฟิง เพราะเมื่อจางเหลียงได้ยินว่าหลิวเถี่ยถูกดักปล้น เขาก็พาทหารผ่านศึกไปหาจินเฟิงเพื่อขอทำการต่อสู้ทันที แต่จินเฟิงปฏิเสธ
“จินเฟิง เหตุใดเจ้าไม่ปล่อยให้เหลียงจื่อกับพวกไปต่อสู้กับพวกโจรเล่า?”
ทุกคนมองไปที่บัณฑิตหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ
“เพราะว่าพวกโจรที่ถงซาน คือโจรเขาเถี่ยกว้าน!”
จินเฟิงเน้นย้ำ
จากนั้นคนงานที่ขุ่นเคืองเมื่อครู่ก็กลายเป็นใบ้ทันที
หลายคนมีสีหน้าหวาดกลัว
โจรเขาเถี่ยกว้านคือโจรที่เข้ามายึดครองที่อำเภอจินชวนและทิ้งความหวาดกลัวไว้ในใจของชาวบ้าน
พวกเขาคิดมาเสมอว่าพวกโจรจากเขาเถี่ยกว้านน่ากลัวยิ่งกว่าหน่วยราชการเสียอีก
เพราะพวกโจรไม่มีเหตุผล
ทุกปีเวลาที่พวกเขามาเก็บส่วยข้าว มีใครบ้างไม่กลัวตายและหายใจได้เต็มปอด?
หากเป็นเพียงกลุ่มโจรเล็ก ๆ พวกชาวบ้านก็คงจะลงมือต่อสู้ แต่หากคิดฆ่าโจรจากเขาเถี่ยกว้าน ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงเกินไป!
แม้ว่าคนในหมู่บ้านจะไม่ได้ถูกสังหารทั้งหมด แต่ผู้คนจำนวนมากอาจจะต้องตายด้วยน้ำมือของพวกโจรเขาเถี่ยกว้าน
ใครจะไปรู้ พวกเขาอาจตกเป็นหนึ่งในคนที่ต้องถูกฆ่าก็ได้?
“ข้าได้เตรียมค่าจ้างไว้แล้ว พวกเจ้ามารับได้เลยแล้วก็กลับบ้านเพื่อรอรับการแจ้งข่าวอีกที”
จินเฟิงโบกมือแล้วเดินออกจากโรงอาหาร
คราวนี้ไม่มีคนงานคนใดพูดอะไรเลย
“เอาล่ะ ๆ ค่อยว่ากันอีกที เมื่อมีแผนการอะไรข้าจะแจ้งให้ทราบ”
จินเฟิงโบกมือให้ทหารผ่านศึก จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องตำราทันที
“ท่านอาจารย์ เรื่องที่เจ้าอยากรู้ได้ความแล้ว”
ชิงมู่หลานนั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่ทันได้เอ่ยทักทาย
“รวดเร็วดี”
จินเฟิงเมินชิ่งมู่หลาน จากนั้นก็หันไปรินน้ำให้อาเหมย “ขอบใจเจ้ามาก”
ระยะทางจากซีเหอวานถึงจินชวนนั้นไม่ใกล้ จินเฟิงคิดว่าอาเหมยน่าจะกลับมาวันรุ่งขึ้น เขาไม่คิดว่านางจะกลับมาเร็วขนาดนี้ สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มกังวลเล็กน้อยว่านางอาจไม่ได้สอบถามข่าวมาอย่างชัดเจน
“แน่นอนว่าอาเหมยไม่กล้าละเลยสิ่งที่ท่านอาจารย์บอกและนางก็เร่งความเร็วอย่างไม่หยุดหย่อน”
อาเหมยถือถ้วยน้ำด้วยมือทั้งสองข้างแล้วดื่มรวดเดียว
หลังจากที่นางนั่งลง จินเฟิงก็ถาม “ได้ความว่าอย่างไร โจวซือเหยียใช่คนของตระกูลโจวหรือไม่?”
“ใช่!”
อาเหมยพยักหน้า “แต่เขาเป็นเพียงตระกูลย่อยของตระกูลโจว ปู่ทวดของเขาเป็นลูกนอกสมรสของผู้นำตระกูลโจว ต่อมาหลังจากที่ผู้นำตระกูลรุ่นนั้นเสียชีวิตลง ปู่ทวดของเขาก็ย้ายครอบครัวจากเปี้ยนจิงไปยังซื่อชวน หลังจากนั้นเมื่อถึงรุ่นบิดาของโจวซือเหยีย พวกเขาก็ได้ตั้งรกรากในอำเภอจินชวน และติดต่อกับต้นตระกูลในเปี้ยนจิงน้อยลง พวกเขาจะถูกเรียกตัวกลับเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในตระกูลเท่านั้น และในรุ่นของโจวซือเหยีย นี่ก็เป็นเวลาสิบสองปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้ไปเปี้ยนจิง”
“ตระกูลย่อยอย่างนั้นหรือ?”
จินเฟิงรู้สึกโล่งใจ
“ท่านอาจารย์ ที่ข้าบอกว่าจะตรวจสอบบรรพบุรุษของเขาทั้งสามรุ่นอย่างละเอียด ข้าโกหกเจ้าหรือไม่?”
ชิงมู่หลานยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ข่าวนี้ยืนยันได้ใช่หรือไม่?”
จินเฟิงถามย้ำ “เพราะว่าเรื่องนี้สำคัญมาก”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์