บทที่ 78 อาศัยความมืด (1)
หลังจากส่งจางฉีเวยออกไปแล้ว จินเฟิงก็ขอให้จงอู่เรียกสวีเซียวมาพบ
ทั้งสองคุยกันในกระโจมใหญ่ กางแผนที่และโต๊ะทรายจำลองประกอบการสนทนาเป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งเวลาจุดตะเกียงมาถึงสวีเซียวถึงได้ออกมาจากกระโจม
หลังออกมาจากกระโจมของจินเฟิง สวีเซียวก็ไม่มีเวลาได้พักกินข้าว เขานำทหารหลายร้อยนายขึ้นไปบนเนินเขาทางด้านซ้าย เพราะต้องเปลี่ยนเวรกับทหารที่ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อตัดไม้และทำเครื่องยิง
ในคืนนั้นภายในค่ายเชลยศึกคึกครื้นมาก
ทาสชาวฮั่นแต่ละคนจะได้รับผ้าป่านคนละหนึ่งผืนและวอวอโถว อาหารที่ทำจากแป้งข้าวโพดชนิดหยาบ
แม้ว่าผ้าป่านจะมีขนาดไม่ใหญ่แต่ก็สามารถปกปิดความอับอายจากร่างกายที่เปลือยเปล่าได้
และแม้วอวอโถวจะทั้งหยาบและแข็ง แต่ก็เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดที่พวกเขาเคยกินตลอดปีที่ผ่านมา
สิ่งที่สำคัญคือนายทหารได้บันทึกข้อมูลทะเบียนราษฎรเอาไว้ และจะปล่อยให้พวกเขากลับบ้านหลังจากการตรวจสอบแล้ว
ด้วยความที่มีทาสชาวฮั่นจำนวนมาก มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะสร้างห้องกักกันแยก ดังนั้นกองทัพเต๋อหนิงจึงตัดต้นไม้มาสร้างวงล้อมในที่โล่ง เพื่อให้ทาสชาวฮั่นได้อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว
ก่อนที่ผลการยืนยันตัวตนจะถูกส่งกลับมา พวกเขาจะต้องอยู่ที่นี่ภายใต้การดูแลของกองทัพเต๋อหนิง ถูกมัดมือและเท้าด้วยเชือก
โชคดีที่กองทัพเต๋อหนิงไม่ได้ผูกเชือกจนรัดแน่นเกินไป แต่ผูกเอาไว้เหมือนโซ่ที่ผู้ถูกมัดยังสามารถเดินเหินและกินอาหารได้ แต่การเดินไม่ค่อยสะดวกนักและหากไม่ระวังก็จะสะดุดเชือกเอาง่าย ๆ
เมื่อผูกเชือกเสร็จ ทางกองทัพเต๋อหนิงก็แจ้งกับพวกเขาว่า ใครก็ตามที่กล้าแก้มัดเชือกโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถูกประหารชีวิต
ทาสชาวฮั่นไม่มีปัญหากับเรื่องนี้
เมื่อเทียบกับการได้รับการช่วยเหลือแล้ว ความไม่สะดวกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้พวกเขาคิดมาก
นอกค่ายเชลยศึก จางฉีเวยเอ่ยถาม “ได้ข้อมูลของหน่วยสอดแนมมาบ้างหรือไม่?”
“แม่ทัพไม่ต้องกังวล สำเนียงการพูดของชาวตั่งเซี่ยงแตกต่างจากพวกเราชาวจงหยวน ย่อมหาตัวพวกเขาได้ไม่ยาก”
รองผู้บัญชาการกองทัพกล่าวว่า “เราพบช่างฝีมือทั้งหมดยี่สิบหกคน แต่มีสองคนพยายามแกล้งทำเป็นใบ้เพื่อปะปนเข้ามา แต่ข้าจะฆ่าพวกเขาทั้งคู่”
อันที่จริง เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าสองคนนี้เป็นช่างฝีมือหรือเป็นใบ้จริง ๆ หรือไม่
แต่ไม่ต้องสนใจหรอก
อย่างไรก็ตาม มีทาสชาวฮั่นมากมาย ดังนั้นการตายของทั้งสองจึงไม่ได้เป็นเรื่องที่จับสังเกตได้ง่าย
“อย่างไรเสีย เจ้าก็ระวังให้ดี และเพิ่มเวรกลางคืนเป็นสองเท่าก็แล้วกัน”
เชลยศึกและทาสชาวฮั่นกิน ดื่ม และขับถ่ายในค่ายเชลยศึก ดังนั้นกลิ่นบริเวณโดยรอบจึงแย่มาก จางฉีเวยสั่งการเสร็จจึงรีบจากไปพร้อมกับบีบจมูกของตนเอาไว้
แต่ในขณะเดียวกัน ทาสชาวฮั่นกลับคุ้นเคยกับกลิ่นเหม็นมานานแล้ว และค่ายเชลยศึกแห่งนี้ก็ถือว่ามีชีวิตชีวากว่าที่ที่พวกเขาจากมามาก
บางคนหัวเราะเสียงดังเพราะกำลังจะได้กลับบ้านเกิด ในขณะที่บางคนร้องไห้เบา ๆ เพราะญาติของตนเสียชีวิตในตั่งเซี่ยง
จนกระทั่งกลางดึกค่ายเชลยศึกจึงเงียบลงในที่สุด
ทาสชาวฮั่นเหนื่อยกับการร้องไห้และหัวเราะ พวกเขาจึงนอนลงบนพื้นเป็นกลุ่มและผล็อยหลับไป
ทหารของกองทัพเต๋อหนิงที่รับผิดชอบปกป้องค่ายต่างก็ง่วงเหงาหาวนอน บางคนก็เอนกายพิงเสาและงีบหลับไปเช่นกัน
ในช่วงเวลาตีสี่ตีห้า เป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของวัน และเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนมักจะรู้สึกง่วงนอนด้วย
กองทัพเต๋อหนิงไม่ใช่กองกำลังเลือดเหล็กที่มีระเบียบวินัยทางทหารที่เข้มงวดตั้งแต่แรก ทหารส่วนใหญ่ที่รับหน้าที่เฝ้ายามต่างก็นอนหลับพิงเสา เหลือเพียงสองคนเท่านั้นที่ตื่นอยู่ และกำลังเล่นหมากรุกใต้คบเพลิง
แม้แต่คบเพลิงส่วนใหญ่ก็ยังดับและไม่มีใครอยู่ที่นั่นเพื่อเติมเชื้อเพลิงให้กับมัน
ในมุมหนึ่งของรั้วที่แสงไฟส่องไม่ถึง ทาสชาวฮั่นหนุ่มที่มีหูเพียงข้างเดียวก็ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ
เขามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังและค่อย ๆ ยืนขึ้น
ทาสชาวฮั่นนอนเบียดกันมากเสียจนชายที่มีหูข้างเดียวชนเข้ากับคนข้าง ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีเด็กอายุสิบสองหรือสิบสามปีรู้สึกตัวและขยี้ตาพร้อมกับเอ่ยถาม “พี่เฮยโก่ว จะไปห้องส้วมหรือ?”
“อืม”
เฮยโก่วทำได้เพียงพยักหน้า


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์