บทที่ 77 ห้ามเหลือแม้แต่คนเดียว
“ให้พลธนูจำเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะมีทหารม้ากี่ชีวิต ห้ามปล่อยให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”
จินเฟิงหันกลับมาและออกคำสั่ง
“รับทราบ!”
ผู้ส่งสารรีบออกไปกระจายคำสั่งทันที
ก่อนหน้านี้กองทัพเถี่ยหลินมีธนูจ้งหนู่*[1] อยู่บ้าง แต่จำนวนน้อยมาก อีกทั้งประสิทธิภาพยังต่ำเกินไป และต้องใช้เวลานานในการเติมลูกธนูสำหรับยิงแต่ละลูก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การต่อสู้
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ชาวตั่งเซี่ยงกำลังยุ่งอยู่กับการรวบรวมทาสชาวฮั่นจากในเมืองและไม่ได้ออกโจมตี ส่วนจินเฟิงเองก็ไม่มีอะไรทำ เขาจึงทำการแก้ไขและติดตั้งธนูจ้งหนู่ไว้บนภูเขา เตรียมที่จะใช้มันเพื่อตัดหัวแม่ทัพของชาวตั่งเซี่ยงในการสู้รบครั้งต่อไป
ผู้เฒ่าจ้าวรู้สึกว่าไพ่เด็ดเหล่านี้ไม่ควรที่จะเปิดเผยแก่นายทหารชั้นประทวนให้รู้
อย่างไรก็ตาม เพื่อเห็นแก่ศักดิ์ศรีของจินเฟิง เขาเพียงแค่ขมวดคิ้วและไม่ตั้งคำถามอะไรออกไป
ทาสชาวฮั่นค่อย ๆ เข้าใกล้กระบวนทัพสี่เหลี่ยมภายใต้การคุ้มกันของชาวตั่งเซี่ยง
ในเวลานี้กระบวนทัพอยู่ในรูปตัวที ทาสชาวฮั่นต้องเดินผ่านทางเดินที่ยาวกว่าสามฉื่อ
สองข้างของทางมีต้นไผ่ปลายแหลมคม หากผู้ใดมีเจตนาไม่ดี เมื่อเดินผ่านมาทางเดินนี้ก็จะต้องถูกรุมแทงเหมือนรังแตน
ทาสชาวฮั่นไม่เคยเห็นการต่อสู้เช่นนี้มาก่อน และพวกเขาก็หวาดกลัวมากจนไม่กล้าที่จะเดินไปข้างหน้า
“ไม่ต้องกลัว พวกเราทุกคนคือชาวฮั่น เราจะไม่ทำร้ายพวกเจ้า แค่เดินหน้าไปอย่างกล้าหาญและระวังอย่าเข้าใกล้โล่”
สวีเซียวตะโกนเสียงดัง
ข้างหลังพวกเขาคือชาวตั่งเซี่ยงที่เริ่มเคลื่อนทัพพร้อมกับแส้ในมือ
“ไปเถอะ เลวร้ายที่สุดก็แค่ตาย ข้ามีชีวิตเช่นนี้มานานเกินไปแล้ว การตายด้วยน้ำมือของชาวฮั่นยังดีกว่าถูกสัตว์ร้ายอย่างตั่งเซี่ยงทรมานจนตาย”
ชายชราชาวฮั่นคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้าเป็นผู้นำเข้าไปในทางเดิน
ชายชราผู้นี้เคยได้รับความเคารพอย่างสูงในหมู่บ้าน และทันทีที่เข้าไป ก็มีคนติดตามเขาทันที
หากมีคนนำ คนที่เหลือก็จะตามมา และทุกอย่างก็จะราบรื่นขึ้น
ทาสชาวฮั่นเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบและเดินเข้าไปยังทางเดินทีละคน
ในตอนแรกมันยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่เมื่อทหารตั่งเซี่ยงที่ตามมาข้างหลังโบกมือ พร้อมกับชูมีดพร้าราวกับจะฆ่าใครสักคน รอบ ๆ ก็เริ่มวุ่นวายทันที
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตไม่ใช่ความสิ้นหวัง แต่คือการประสบกับความสิ้นหวังมาเป็นเวลานาน และในที่สุดก็ได้เห็นแสงความหวังอันเห็นริบหรี่ แต่เมื่อกำลังจะหนีพ้น ทุกอย่างกลับพังทลายลง
ชีวิตของทาสชาวฮั่นในตั่งเซี่ยงนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าชีวิตของสุกรหรือสุนัข หลายคนสิ้นหวังและไม่กลัวความตายอีกต่อไป
แต่ในที่สุดตอนนี้พวกเขาก็เห็นความหวังที่จะได้กลับไปยังจงหยวน ความปรารถนาในการเอาชีวิตรอดของพวกเขาถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขารีบรุดไปข้างหน้าเพราะกลัวว่าจะถูกชาวตั่งเซี่ยงเอาชีวิตหากวิ่งช้าเกินไป
ทันใดนั้นเหตุการณ์ก็วุ่นวาย
มือชูธงที่อยู่ถัดจากจินเฟิงยกธงขึ้นและโบกมือสองสามครั้ง จากนั้นพลธนูบนภูเขาฝั่งตรงข้ามที่เตรียมพร้อมก็เหนี่ยวไกทันที!
ฟึ่บ!
ลูกศรหนักและหนาเท่ากับไข่ไก่ ลอยออกไปพร้อมกับเสียงที่คมชัดในระยะทางเกือบลี้
ทหารม้าตั่งเซี่ยงที่ถูกโจมตีตัวลอยออกจากม้าราวถูกดีดออก!
ลูกธนูทะลุโจมตีกองทหารม้าตั่งเซี่ยงไม่หยุด จากนั้นก็ทะลุผ่านม้าศึกของทหารม้าที่อยู่ด้านหลัง ทั้งคนทั้งม้าถูกธนูตอกเข้าที่หน้าผากจนเกิดเสียงดังฉึก
จากนั้นก็มีหินก้อนใหญ่หล่นลงมา
นี่คือพลังของธนูจ้งหนู่!
แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ฉึก ฉึก ฉึก! …
ลูกธนูอีกหลายลูกดอกลอยเข้ามา
ลูกธนูแต่ละดอกพรากชีวิตทหารม้าของฝ่ายตั่งเซี่ยงไปอย่างน้อยหนึ่งนาย
ในขณะนั้นก็มีมือดีของพลธนูที่สามารถฆ่าทหารตั่งเซี่ยงได้ถึงสี่ชีวิตโดยใช้ธนูเพียงดอกเดียว
ทหารม้าตั่งเซี่ยงที่เหลือไม่สนใจที่จะไล่ต้อนทาสชาวฮั่นให้เดินหน้าอีกต่อไป พวกเขาต่างก็ทยอยหลบหนีกลับไปทีละคน
พลธนูบนภูเขารีบหันตัวกลับแล้วติดตามไปอย่างใกล้ชิด
เพราะท่านอาจารย์จินสั่งไว้แล้วว่า ห้ามให้ทหารม้าเหล่านี้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว
เช่นนั้นก็ฆ่าพวกเขาตายให้หมด!
ม้าศึกจะวิ่งเร็วกว่าลูกธนูได้อย่างไร?
“แม่ทัพจางเอ่ยชื่นชมกันเกินไป”
จินเฟิงพยักหน้าและกล่าว “คนเหล่านี้ได้รับความเดือดร้อนมากมายในตั่งเซี่ยง ข้าหวังว่าแม่ทัพจางจะช่วยดูแลพวกเขาอย่างดี อย่างไรก็ตาม ในหมู่พวกเขาเหล่านี้ อาจมีสายลับชาวตั่งเซี่ยงแฝงตัวเข้ามาโดยที่พวกเราไม่รู้ แม่ทัพจางอาจจะต้องระมัดระวังในการจัดการ”
“แม่ทัพจินไม่ต้องกังวล ข้าจะกำชับให้คนของเราคัดกรองอย่างรอบคอบแน่นอน”
“รบกวนแม่ทัพจางด้วย”
จินเฟิงถามว่า “อย่างไรก็ตาม แม่ทัพจางไม่อยู่รับพลเรือนที่ค่ายเชลยศึก แต่มาพบข้าถึงที่นี่มีเรื่องอะไรหรือไม่?”
“แม่ทัพจินมีสายตาที่แหลมคมจริง ๆ” จางฉีเวยเอ่ยชื่นชมแล้วกล่าว “ข้ามีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะรบกวนท่านแม่ทัพจริง”
“แม่ทัพจาง เชิญท่านว่ามาได้เลย”
“มีเชลยศึกและพลเรือนตั่งเซี่ยงหลายพันชีวิต กองทัพเต๋อหนิงของข้ารับผิดชอบไม่ไหว”
จางฉีเวยกล่าวต่อ “ข้าหวังว่าแม่ทัพจินจะสามารถเขียนรายงานทางทหารให้ข้า เพื่อยืนยันว่าข้าได้ควบคุมตัวเชลยศึกและพลเรือนที่กองทัพเถี่ยหลินจับมา และจะไปที่กรมสรรพวุธเพื่อรับเสบียง”
“ขอโทษที ช่วงนี้ข้ายุ่งมากจนลืมเรื่องนี้ไป”
จินเฟิงลูบหัวแล้วเอ่ย “แม่ทัพจาง รอสักครู่ ข้าจะจัดการทันที”
“ข้ารบกวนด้วย”
จางฉีเวยยกมือขึ้นแล้วพูด
จินเฟิงกลับไปที่กระโจมใหญ่ จากนั้นผู้เฒ่าจ้าวก็เดินตามเขาเข้าไปทันทีเพื่อทำการเตือน
“ท่านอาจารย์ หนังสือรับรองทางทหารนี้หมายความว่ากองทัพเต๋อหนิงมีส่วนช่วยเหลือกองทัพเถี่ยหลิน นี่เป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า แม่ทัพจางต้องการใช้ประโยชน์จากกองทัพของท่าน”
“เวลากองทัพเถี่ยหลินกินเนื้อ มักจะทิ้งน้ำต้มเนื้อไว้ให้ผู้อื่นดื่มเสมอ กินคนเดียวไม่ดี”
จินเฟิงยิ้มและพูดว่า “นอกจากนี้ ข้อได้เปรียบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้ประโยชน์”
“อย่างไรหรือ?”
ผู้เฒ่าจ้าวถามอย่างสงสัย
จินเฟิงยิ้มและไม่ตอบ เขาเขียนรายงานทางทหารอย่างมีความสุขและส่งมอบให้กับจางฉีเวย
[1] ธนูจ้งหนู่ : เป็นอาวุธสงครามหนักในสมัยก่อน เพราะมีขนาดใหญ่จึงมีประสิทธิภาพในการใช้งานสูง แต่ข้อเสียคือใช้งานได้ช้าเพราะมีน้ำหนักค่อนข้างเยอะ

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์