บทที่ 76 จะฆ่าหรือไม่ฆ่า
สำหรับชิ่งกั๋วกง การที่เขามีชิ่งไหวเป็นพวกก็ยากที่จะรับมือแล้ว หากมีท่านโหวคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นอีกคนเล่า?
ถงกวานไม่รอคำตอบของฮ่องเต้ เขาออกหน้ามาหักล้างชิ่งกั๋วกงอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท ข้าเชื่อว่าสงครามยังไม่จบและชาวตั่งเซี่ยงคงยังไม่ยอมแพ้เป็นแน่ ข้าว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องการปูนบําเหน็จตอนนี้”
“หากทำคุณงามความดีก็ควรได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นเหล่าทหารจะมีกำลังใจได้อย่างไร?”
ชิ่งกั๋วกงเอ่ย “หากพวกเขาได้รับการปูนบำเหน็จอย่างหนัก กองทัพเถี่ยหลินต้องขอบคุณความเมตตาของฝ่าบาทและทำการสู้รบต่อไปอย่างกล้าหาญเพื่อเอาชนะศัตรูที่มารุกรานเป็นแน่”
“การต่อสู้เพียงครั้งเดียวไม่ได้แสดงถึงผลลัพธ์ที่แท้จริง หากพวกเขาได้รับการปูนบำเหน็จมากมายและหลงระเริงจนพาลทำให้กองทัพเถี่ยหลินพ่ายแพ้ในภายหลังเล่า ฝ่าบาทจะทรงรับมืออย่างไร?”
ถงกวานก็สู้หัวชนฝาเช่นเดียวกัน
“คำพูดทำลายชาติเสียจริง เจ้ากำลังสาปแช่งต้าคังของข้าอยู่หรือ?”
ชิ่งกั๋วกงจ้องมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความโกรธ “ฝ่าบาท! ถงกวานมีเจตนาชั่วร้ายและพูดจาปลุกปั่นในท้องพระโรง ฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย!”
“เอาล่ะ พวกเจ้าเลิกทะเลาะกันได้แล้ว”
เฉินจี๋หยุดทั้งสองคนและมองไปยังเสนาบดีฝ่ายซ้ายอย่างหลี่กัง “หลี่กัง เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
“ทูลฝ่าบาท ข้าเชื่อว่ากองทัพเถี่ยหลินสมควรได้รับการปูนบำเหน็จ เป็นรางวัลต่อการมีส่วนร่วมกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา”
หลี่กังค่อย ๆ ตอบ
ชิ่งกั๋วกงอดไม่ได้ที่จะแสดงความพึงพอใจออกมา
ทว่าถงกวานกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามหลี่กังยังกล่าวต่อไปอีกว่า “แต่สิ่งที่ฉู่กั๋วกงพูดก็สมเหตุสมผล การสู้รบนี้ยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะปูนบำเหน็จให้พวกเขาก่อนเวลาอันสมควร จะเป็นการดีกว่าหากฝ่าบาทมอบหมายให้กรมกลาโหมเป็นผู้ดูแลจัดการและปูนบำเหน็จให้พวกเขาหลังสงครามเสร็จสิ้น”
“สิ่งที่หลี่กังพูดก็สมเหตุสมผล… ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดเถิด”
ฮ่องเต้เฉินจี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าน้อย ๆ
ในใจของเขาคิดว่า งานที่สำคัญที่สุดของฮ่องเต้คือรักษาถ่วงดุลอำนาจในหมู่เสนาบดี
ชิ่งกั๋วกงกับฉู่กั๋วกงต่างก็เป็นขุนนางที่ดำรงตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก
ทว่าทั้งสองคนไม่ค่อยถูกกัน
ดังนั้นฮ่องเต้เฉินจี๋จึงตัดสินใจว่าจะยังไม่ปูนบำเหน็จให้แก่กองทัพเถี่ยหลินตอนนี้ เขาแค่พยายามเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างชิ่งกั๋วกงและฉู่กั๋วกง
ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะออกมาไม่เลวทีเดียว
หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม บรรดาขุนนางก็ทยอยออกมาจากท้องพระโรง
และผู้ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในท้องพระโรงก็คือกองทัพเถี่ยหลินและจินเฟิง
เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไม่รู้ว่าจินเฟิงและกองทัพเถี่ยหลินกำลังเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก
ชาวตั่งเซี่ยงขับไล่ทาสชาวฮั่นออกจากชิงสุยกู่ไปหลายลี้ และหน่วยสอดแนมก็ได้นำข่าวมาแจ้งแก่กองทัพเถี่ยหลิน
“ท่านอาจารย์จิน ชาวตั่งเซี่ยงใช้ทาสชาวฮั่นมาบีบบังคับเรา”
เป็นไปอย่างที่ผู้เฒ่าจ้าวคาดเดาไว้จริง ๆ “ท่านวางแผนไว้อย่างไร?”
“ข้าจะวางแผนอะไรได้ แน่นอนว่าต้องฆ่าพวกเขา!”
จงอู่กล่าวว่า “น่าจะมีชาวตั่งเซี่ยงแฝงตัวเข้ามาในกลุ่มทาสชาวฮั่นมากมาย หากเราไม่ฆ่าพวกเขาเสีย แล้วเกิดมีชาวตั่งเซี่ยงปะปนเข้าไปจริง ๆ จะทำอย่างไร?”
“เจ้าเบาเสียงลงหน่อย หน่วยสอดแนมบอกว่ามีทาสชาวฮั่นอย่างน้อยหนึ่งพันชีวิตที่ถูกขับมาที่นี่ ไม่รู้ว่ามีหน่วยสอดแนมกี่คน? แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทาสชาวฮั่นที่มีเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเรา”
ผู้เฒ่าจ้าวจ้องมองจงอู่แล้วเอ่ย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการสังหารคนที่มีชาติพันธ์ุเดียวกันหลายพันชีวิตถือว่าเป็นอาชญากรรม?”
“ชาวตั่งเซี่ยงช่างน่ารังเกียจเสียจริง!”
จงอู่กระทืบเท้าอย่างฉุนเฉียวและนิ่งเงียบไป
“ท่านอาจารย์ ศัตรูใกล้เข้ามาทุกทีและอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ลี้” ผู้เฒ่าจ้าวมองไปที่จินเฟิง “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาลังเล ไม่ว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่า เจ้าก็ต้องรีบตัดสินใจ”
ใช่ รีบตัดสินใจเถิด
จะฆ่าหรือไม่ฆ่าดี?
จินเฟิงเองก็ไม่กล้าตัดสินใจเหมือนกัน
หากเป็นการเผชิญหน้ากับชาวตั่งเซี่ยง จินเฟิงจะไม่มีวันเมตตาเด็ดขาด
เพราะเขารู้ดีว่านี่คือสงครามชีวิต ตั้งแต่พวกเขาคว้ามีดพร้ามาที่จงหยวน นั่นหมายถึงการเตรียมพร้อมที่จะถูกสังหารแล้ว
ทว่าจินเฟิงไม่สามารถตัดสินใจให้ฆ่าชาวฮั่นได้ เขาไม่มีทางทำเช่นนั้นได้จริง ๆ
แต่หากไม่ฆ่าแล้วปล่อยให้ทาสชาวฮั่นเข้ามาล่ะ?
“ท่านอาจารย์ ข้าขอล้ำเส้นสักครั้ง”
ในฐานะนักเดินทางข้ามเวลา จินเฟิงไม่คุ้นเคยกับการฆ่า แม้ว่าเขาจะเคยสังหารกองทหารม้ามาก่อน แต่นั่นก็เป็นเพราะสถานการณ์บังคับ มันไม่ใช่ความต้องการของชายหนุ่ม
ทว่าตอนนี้จินเฟิงกลับเปี่ยมไปด้วยโทสะและมีเจตนาสังหารแผ่ออกมาอย่างเข้มข้น
ทาสชาวฮั่นเหล่านี้น่าสงสารมาก
ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ หรือเด็ก พวกเขาล้วนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าและผอมแห้ง
พวกเขาทั้งหมดเหมือนซอมบี้ที่กำลังเดินมาอย่างช้า ๆ ไม่มีผิด ดวงตาของทุกคนเหม่อลอยไร้ชีวิตชีวา และก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
จินเฟิงเห็นชายชราคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง เขาเดินโซเซและล้มลงกับพื้น
ทหารม้าตั่งเซี่ยงที่คอยคุมตัวมุ่งไปด้านหน้าและเฆี่ยนตีชายชราผู้นั้นทันที
แม้ว่าจะมองจากระยะไกล จินเฟิงก็ยังเห็นรอยเลือดบนหลังของชายชราได้อย่างชัดเจน!
ชายชราผู้นี้หิวโหยและเหนื่อยเกินไป เขาพยายามดิ้นรนอยู่สองสามครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
รอยยิ้มอันโหดร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทหารม้าตั่งเซี่ยง จากนั้นเขาก็บังคับให้ม้ายกขาหน้าขึ้นและเหยียบลงที่ศีรษะของชายชราผู้อิดโรย
โพละ!
ศีรษะของชายชราถูกม้าบดขยี้ราวกับลูกแตงโม
ทหารม้าที่อยู่รอบ ๆ หัวเราะอย่างพึงพอใจ จากนั้นพวกเขากลับเข้าไปในกลุ่มทาสชาวฮั่น ควบขี่อยู่บนหลังม้าพร้อมดาบในมือ
ในระยะเวลาสั้น ๆ ทาสชาวฮั่นเสียชีวิตลงกว่าสิบชีวิต
หนึ่งนั้นรวมถึงเด็กสองคนที่ดูเหมือนจะมีอายุเพียงสิบเอ็ดหรือสิบสองปีเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีสตรีชาวฮั่นนางหนึ่งที่อุ้มเด็กเอาไว้ในอ้อมแขน เมื่อนางเห็นชาวตั่งเซี่ยงเข้ามาใกล้ก็รีบซ่อนตัวและกระชับเด็กเอาไว้ในอ้อมแขน
เป็นผลให้ชาวตั่งเซี่ยงแทงนางด้วยหอกพร้อมคว้าตัวเด็กเอาไว้และชูขึ้นเหนือหัว เพื่อแสดงความแข็งแกร่งต่อทหารม้าคนอื่น ๆ
ทหารม้าคนอื่น ๆ ต่างก็ปรบมือและแสดงความชมเชยต่อพวกเขา
บรรยากาศรอบ ๆ ร่าเริงมาก ราวกับสิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่การฆ่าคนแต่เป็นการฆ่าแกะสองตัวในงานเลี้ยงรอบกองไฟ
ดวงตาของจินเฟิงแดงก่ำหลังจากเห็นภาพที่โหดร้าย เขาชกกำปั้นลงกับพื้น
“พวกมันไม่ใช่คน แต่เป็นสัตว์เดรัจฉาน!”
“ข้าอยากให้พวกมันตาย ตายแบบไม่มีผู้ใดมาเหลียวแล!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ เปลี่ยนชะตา ชีวิตนี้ของข้าต้องรุ่งโรจน์