ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน นิยาย บท 68

ไป๋ซิวหย่วนหลุบตาลงแล้วเหลือบมองไปทางโจวซืออี้แวบหนึ่ง เขาจำได้ว่าวันต่อมาที่ซือลั่วไปขายสูตรอาหาร เขาก็มาหาที่บ้านพร้อมกับแสดงท่าทีร้อนอกร้อนใจอย่างมาก เพราะปรารถนาที่จะทำให้เถ้าแก่เจียงเป็นอัมพาต คิดไปแล้วโจวซืออี้ก็คงอยากได้สูตรอาหารเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดร้ายแรงลงไป

ดูเหมือนว่าตนเองจะประเมินโจวซืออี้ต่ำไปอย่างแท้จริง เขาเจ้าเล่ห์กว่ารูปลักษณ์ภายนอกนัก เมื่อผู้ดูแลร้านเจียงจากไปในขณะนี้ หอจวี้เซียนก็ส่งเถ้าแก่คนใหม่มาจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะแข่งขันกับหอเทียนเซียงได้อีก

ไป่ซิวหย่วนเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูสงบลงแล้ว "พี่โจวท่านกล่าวถูกต้องทุกประการ”

โจวซืออี้เหลือบมองเขาด้วยรอยยิ้ม “น้องไป๋ผู้ประเสริฐ อันที่จริงข้าคิดที่จะเตือนเจ้ามาโดยตลอดเลยว่าบางครั้งผู้ที่ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งได้มันไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น เจ้าว่าหริอไม่”

ไป๋ซิวหย่วนเข้าใจว่าเขากำลังเตือนตนเองทางอ้อม ตักเตือนตระกูลไป๋ และกระทั่งเตือนไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังตระกูลไป๋ผู้นั้นอีกด้วยว่าอย่าคิดเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ กับสิ่งที่กำลังทำอยู่

เขาเย้ยหยันในใจแต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า

“พี่โจวพูดแบบนี้ ข้าฟังไม่เข้าใจ”

“น้องไป๋จะต้องฟังเข้าใจเป็นแน่” โจวซืออี้มองเข้าไปในดวงตาของเขา

ไป๋ซิวหย่วนกับโจวซืออี้ประสานสายตากัน ระหว่างคนทั้งสองเต็มไปด้วยควันเบาบางตลบอบอวลอยู่ ในที่สุดไป๋ซิวหย่วนก็ยิ้ม “พวกเราตระกูลไป๋คิดที่จะหาเงินเพียงเท่านั้น ไม่ได้คิดเป็นอื่น”

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว"

หลังจากทั้งสองแยกจากกัน ไป๋ซิวหย่วนก็กลับบ้าน นี่คือเรือนที่ตระกูลไป๋ซื้ออยู่ที่ตำบลหย่วนซาน เรือนหลังไม่ใหญ่โตแต่มีสภาพแวดล้อมที่หรูหรา

“คุณชาย โจวซืออี้รังแกกันเกินไปแล้ว” ชิงเหยียนที่อยู่ข้างกายกล่าวอย่างไม่พอใจ

ไป๋ซิวหย่วนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เขาพึ่งพิงตระกูลโจวอยู่ ทั้งยังมีโจวกุ้ยเฟยกับจิ้นอ๋องเป็นผู้หนุนหลังอีกจึงได้มีความมั่นอกมั่นใจเช่นนั้น”

หลังจากที่เขากล่าวจบก็ถามอีกว่า “มีข่าวคราวจากหลานจิงหรือไม่"

ชิงเหยียนกล่าว "จิ้นอ๋องเรืองอำนาจมาก ตอนนี้ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้เขามาซีเป่ย ท่านประมุขสงสัยว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อพบท่านอ๋องน้อยเว่ย”

“เว่ยฉงซี?” ไป่ซิวหย่วนเลิกคิ้ว

“แม้ว่าท่านอ๋องน้อยเว่ยจะพิการ แต่เขาก็ยังมีชื่อเสียงบารมีในกองทัพซีเป่ยอยู่ดี”

ไป๋ซิวหย่วนพยักหน้า แล้วก็เขายิ้มทันที "ฝ่าบาทก็ยังเป็นฝ่าบาท!"

ชิงเหยียนเกิดความไม่เข้าใจในชั่วขณะหนึ่ง

ไป๋ซิวหย่วนจึงกล่าว “จิ้นอ๋องเป็นผู้ที่ยึดทรัพย์สมบัติตระกูลเว่ย เว่ยฉงซีจะไม่เคียดแค้นเขาหรือ ฝ่าบาทส่งใครมาก็ไม่สู้ส่งเขามา เพราะท้ายที่สุด เว่ยฉงซีก็ไม่มีทางที่จะร่วมมือกับเขาเป็นแน่”

ชิงเหยียนเข้าใจในทันที "องค์หญิงฮุ่ยหนิงก็มาเช่นกัน”

ไป๋ซิวหย่วนหัวเราะ "อดีตคู่หมั้นของท่านอ๋องน้อยเว่ย?"

ชิงเหยียนพยักหน้า

ไป๋ซิวหย่วนใช้นิ้วมือเขี่ยถ้วยชาหยกขาวที่อยู่ด้านหน้า “นับวันยิ่งน่าสนใจอย่างแท้จริง ไปบอกท่านประมุขว่าข้ายังอยากอยู่ที่ตำบลหย่วนซานต่ออีกสักพัก”

“ขอรับ!"

หลังจากที่ชิงเหยียนจากไป ไป๋ซิวหย่วนดื่มชาในถ้วยไปจิบหนึ่ง เมื่อคิดถึงท่าทางหยิ่งยโสของโจวซืออี้ มุมปากของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน

จวนจิ้นอ๋องดีอกดีใจเร็วเกินไป หากฝ่าบาทมีความตั้งใจจริง เหตุใดจะต้องให้หลี่ฉงเหยียนไปยึดทรัพย์ตระกูลเว่ยเพื่อล่วงเกินเว่ยฉงซีด้วยเล่า

ดังนั้น บนกระดานหมากรุกนี้ ตัวหมากที่อวดดีมีมากเกินไปแล้วจริง ๆ

หลังจากที่ทะเลาะกับซิ่วไฉจย่าไปหนึ่งยก ซือลั่วก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไปร้านขนมอีก นางจึงเดินไปรอบถนน

เมื่อเห็นว่าเป็นเวลากลางวันแล้วนางก็เข้าไปกินอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วจึงกลับบ้านอย่างอ้อยอิ่ง

เมื่อเข้าประตูมาก็เห็นว่าเว่ยฉงซียังคงหยอกล้อซือฮวาอยู่ ซือลั่วจึงหันกายเข้าห้องไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เว่ยฉงซีเงยหน้าขึ้นมองประตูที่ปิดมิดชิดแล้วขมวดคิ้ว

หญิงผู้นี้นับวันชักจะเก่งกล้าสามารถขึ้นแล้วจริง ๆ กล้าที่จะโผล่หน้ามาให้เขาเห็นและจงใจอดอาหารเขา

ซือลั่ววางผ้าลงบนโต๊ะ ดื่มน้ำหนึ่งอึก ขึ้นเตียงและนอนหลับไปทันที นางหวาดวิตกตลอดทั้งคืนและเกือบจะถูกเว่ยฉงซีบีบคอจนตายอีก ง่วงนอนตั้งแต่เช้าจนจะไม่ไหวแล้ว จึงหลับไปแทบจะทันทีที่ศีรษะถึงหมอน

ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ยามที่นางตื่นขึ้นมาก็รู้สึกแค่ว่าดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันแล้วและในห้องก็มืดมิดไปหมด

ซือลั่วสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและตอนนี้เป็นกลางวันหรือกลางคืน นางรู้สึกราวกับตนเองเป็นคนที่ดื่มสุราเมามายจนภาพตัดไปอย่างกะทันหัน

หลังจากนั่งพักหนึ่งนางจึงได้สติกลับมา

แล้วลุกจากเตียงและออกไป

เว่ยฉงซีไม่ได้อยู่ในลานบ้าน และดวงตะวันที่อยู่ด้านนอกก็ตกลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง

ซือลั่วหิวแล้วจึงเข้าครัวไปทำน้ำแกงเกอต่าแบบง่าย ๆ มาที่หนึ่ง แล้วเจ้าตัวก็ดื่มมันอยู่ในลานบ้านอย่างละเมียดละไม

เว่ยฉงซีเก่งนักไม่ใช่หรือ ทั้งยังคิดที่จะบีบคอนางอีก เช่นนั้นนางก็จะปล่อยให้เขาอยู่อย่างเก่งกล้าและสูงส่งเย็นชาต่อไปแล้วกัน

ซือลั่วเพิ่งดื่มไปได้หนึ่งชาม ประตูห้องของเว่ยฉงซีก็เปิดออกมา

ซือลั่วไม่แม้แต่จะชายตามองเขา

แต่กลับเป็นเว่ยฉงซีที่หยิบชามมาตักอาหารด้วยตัวเองแล้วค่อย ๆ กินมันอย่างเชื่องช้า

รอจนกินเสร็จแล้ว ซือลั่วก็เก็บกวาดทั้งหมดอีกครั้ง

ตอนที่กำลังจะกลับห้อง ทันใดนั้นเว่ยฉงซีก็หยุดนางไว้ "เจ้ามาที่ห้องข้าหน่อย ข้ามีเรื่องจะพูด"

ซือลั่วไม่ตอบ แต่กลับเข้าไปในห้องของเขา

เว่ยฉงซีมองไปที่นาง แต่นางก้มหัวลง

เว่ยฉงซีไม่ชอบท่าทีเช่นนี้ของนางอย่างมาก

“ซือลั่ว เจ้าบอกว่าต้องการดูแลข้า นี่คือทัศนคติของเจ้างั้นหรือ” เขาถาม

ซือลั่วหัวเราะเย้ยหยันและไม่พูดไม่จา

เว่ยฉงซีหรี่ตา "เป็นอะไร?"

“ข้ากลัวตาย!”

“ในเมื่อกลัวความตาย ก็อย่าเป็นปรปักษ์กับข้า!”

ซือลั่วแสยะยิ้มด้วยความโกรธเกรี้ยว นางเหลือบมองเว่ยฉงซีแวบหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อยเว่ย ข้าจะบอกความลับเจ้าหนึ่งอย่าง”

เว่ยฉงซีชะงัก หรือว่านางต้องการที่จะบอกเรื่องที่นางซือลั่วงั้นเหรอ

เขามองไปยังซือลั่วด้วยความคาดหวังเล็กน้อย ตกลงว่านางคือใครกันแน่

“ยังจำยาที่หมอกงให้ได้ไหม มันเป็นยาพิษ ข้าพึ่งจะใส่มันลงในอาหารของเจ้า!" ซือลั่วพูดอย่างแผ่วเบา

เว่ยฉงซีตกตะลึง เขามองซือลั่วอย่างอึมครึม “วางยากำหนัดใส่ข้า เป็นเพราะเจ้าเหงาเปล่าเปลี่ยวเกินไปแล้วงั้นหรือ”

ซือลั่วผงะไปครู่หนึ่ง เดิมทีแค่คิดจะทำให้เว่ยฉงซีตกใจเท่านั้น แต่ตนเองกลับถูกเขาจัดการเสียได้ นางจึงพูดด้วยความโกรธทันที "เว่ยฉงซี ที่แท้เจ้าก็รู้ไปหมดจริง ๆ!"

เว่ยฉงซีไม่ปฏิเสธ "อย่างน้อยเจ้าก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า"

นี่เป็นการคุกคามอย่างโจ่งแจ้ง

แม้ซือลั่วอยากจะตบไปสักหนึ่งฝ่ามือแต่นางก็ไม่กล้า จะทำสิ่งใดก็ควรมีความพอดี ถ้าหากนางไม่มีขอบเขตล่ะก็ เว่ยฉงซีจะต้องฆ่านางอย่างแน่นอน

และสิ่งที่เว่ยฉงซีพูดก็ถูก ตอนนี้นางอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอย่างแท้จริง

หัวใจของซือลั่วจมดิ่งลง ความรู้สึกที่ชะตาชีวิตอยู่นอกเหนือจากการควบคุมของตนเอง ทำให้นางรู้สึกพ่ายแพ้ ไร้ซึ่งทางเลือกและทำอะไรไม่ถูกโดยสิ้นเชิง

เว่ยฉงซีมองไปที่นางและรู้ว่านางไม่พอใจอย่างมาก เขาจึงเย้ยหยัน "ทำไมเล่า อยากตายหรือ"

ซือลั่วเหลือบมองเขาแวบหนึ่งด้วยความตึงเครียด เขากำลังมองมาที่นางอย่างเลือดเย็น พร้อมกับสายตาที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นอารมณ์ความรู้สึกของเขาเปิดเผยเช่นนี้

ซือลั่วกัดริมฝีปาก "ไม่อยาก!"

“ถ้าไม่อยากก็ต้องเชื่อฟัง”

ซือลั่วหัวเราะด้วยความโกรธ "ข้าไม่เชื่อฟัง?"

เว่ยฉงซีจึงกล่าว "เจ้ากำลังโกรธ!"

“ข้าเปล่า!” ซือลั่วไม่ยอมรับ

“เช่นนั้นเจ้าไม่สบอารมณ์เรื่องอะไร” เว่ยฉงซีถาม “ในเมื่อเมื่อวานนี้ยามที่เจ้าได้เอ่ยคำพูดเช่นนั้นออกมาก็ควรจะคำนึงถึงผลที่ตามมาไว้แล้ว”

ซือลั่วรู้ดีว่าการที่เว่ยฉงซีไม่ต้องการเอาชีวิตนางก็นับว่าเมตตาแล้ว แล้วนางจะยังคาดหวังสิ่งใดอีกเล่า

“เจ้าค่ะ ท่านอ๋องน้อยเว่ย ข้าทราบแล้ว”

เว่ยฉงซียิ้มหยัน เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่ยินยอมของนาง

“ตอนนี้ข้าออกไปได้แล้วใช่ไหม” นางถาม

เว่ยฉงซีจะโมโหเมื่อเห็นนาง ด้วยกลัวว่าตนเองจะอดทนไม่ไหวจนบีบคอนางจนตาย ดังนั้นจึงโบกมือ “ไปให้พ้น”

ซือลั่วออกมาจากห้องของเขา เมื่อมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทกลับยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนางก็ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะอะไรที่ท่าทีเช่นนี้ของเว่ยฉงซีถึงได้ทำให้นางรู้สึกเสียใจ ทั้งๆ ที่เมื่อสองวันก่อนเห็นกันอย่างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองยังคงดีกันอยู่เลย ถึงกระทั่ง “ร่วมเตียงเคียงหมอน” กันแล้วด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้...

เป็นไปดังที่คาดว่าเรื่องบางเรื่องให้มันดำรงอยู่ในใจต่อไปจะดีกว่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติ ข้าจะเป็นภรรยาขยัน