เฉินหู่ยิ้มให้กับซูซานหลาง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “จะช้าหรือเร็วก็มิใช่ปัญหา วันนี้งานที่เรือนข้าก็ลุล่วงหมดสิ้นแล้ว การมาช่วยท่านเกี่ยวหญ้าเพียงสองกำ คงมิได้เสียเวลาอันใดไปมากนัก อีกอย่าง เราสองคนนั้นสนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่เยาว์วัย หากข้าไม่ช่วยท่านในครานี้ แล้วต่อไปข้าจะหลับตาลงอย่างสบายใจได้อย่างไร”
“อีกอย่าง ช่วงนี้แดดออกต่อเนื่องหลายวัน มิรู้ว่าวันใดท้องฟ้าจะมืดครึ้มและฝนจะตกลงมา พี่สะใภ้ท่านเพิ่งคลอดลูก หากเปียกฝนขึ้นมาคงมิใช่เรื่องดี หยุดพูดเถิด ลงมือกันเลยดีกว่า”
เฉินหู่เพิ่งลงจากเขามา ยังมิได้หยุดพักหายใจ ก็เริ่มลงมือเกี่ยวหญ้าทันที
ซูซานหลางรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครือเล็กน้อย “ขอบใจเจ้ามาก”
กล่าวจบ เขามิเอ่ยคำใดอีก หยิบเคียวขึ้นมาแล้วก้มหน้าลงมือทำงานต่อ
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายของวันก็พลันจางหายไปในทุ่งกว้าง หญ้าในผืนดินถูกตัดจนเกือบหมดสิ้น เฉินหู่ช่วยซูซานหลางด้วยการมัดหญ้าเข้าด้วยกันเป็นกองใหญ่
“พี่ชายสาม ท่านคิดจะซ่อมอะไรหรือ คืนนี้จะเริ่มเลยหรือไม่ หลังจากข้ากินข้าวแล้ว ข้าจะมาช่วยท่านสานหญ้าด้วย วันนี้อากาศดีนัก และคืนนี้ยังมีแสงจันทร์ด้วย”
เฉินหู่กล่าวพลางก้มหน้าลงจัดการมัดหญ้า แล้วเหลือบสายตามองซูซานหลาง
ซูซานหลางซาบซึ้งในน้ำใจ แต่ก็กล่าวปฏิเสธอย่างสุภาพ “เจ้าหู่ น้ำใจของเจ้านั้นข้าขอรับไว้ แต่เจ้าไม่ต้องลำบากมาก็ได้ ข้ายังพอมีเวลา เดี๋ยวข้าทำเอง เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปดูแลครอบครัวของเจ้าดีกว่า”
เฉินหู่เองก็มิได้มีชีวิตที่ดีไปกว่าซูซานหลางนัก เขามีขาพิการตั้งแต่ยังเยาว์วัยเนื่องจากถูกไฟลวก แม้จะเป็นบุตรคนเล็ก แต่พี่ชายสองคนของเขามีอายุมากกว่าเขาหลายปี ด้วยความพิการ ทำให้พ่อแม่มิได้โปรดปรานเขา
ภรรยาของเฉินหู่ เฉียนซื่อ ก็มีความพิการเช่นกัน นางถูกไฟลวกตั้งแต่ยังเด็ก ใบหน้ามีรอยแผลเป็น และมือข้างหนึ่งเหลือเพียงครึ่งนิ้วโป้ง
เขามีบุตรสาวสองคน ไม่มีบุตรชาย ชีวิตครอบครัวมิได้สุขสบายเท่าใดนัก แต่ถึงกระนั้น เฉินหู่ยังคงยื่นมือช่วยเหลือซูซานหลางอยู่เสมอแม้จะโดนด่าอยู่บ่อยครั้ง
เฉินหู่ก้มหน้าลง กลืนน้ำลายเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “พี่สาม เหตุใดชีวิตของพวกเราจึงยากลำบากเช่นนี้”
“ข้ามิสนใจสิ่งใด ยังไงข้าก็นับถือท่านเป็นพี่ชาย ตอนเด็ก ๆ หากไม่มีท่านช่วยไว้ ข้าก็คงมิได้ยืนอยู่ตรงนี้ อีกทั้งงานของข้าก็มิได้ขาดตกบกพร่อง ข้าตั้งใจมาช่วยท่าน ใครจะว่าข้าก็มิเป็นไร ข้าจะช่วยต่อไป”
เฉินหู่เงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงฉาน ความที่เขาเป็นผู้พิการ อีกทั้งรูปร่างก็มิได้สูงใหญ่ พ่อแม่จึงรู้สึกละอายและมิได้โปรดปรานเขา กระนั้นพวกเขาก็มิเคยใคร่ครวญเลยว่าใครเป็นต้นเหตุให้บุตรชายต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้
เมื่อเขายังเยาว์วัย พี่ชายทั้งสองที่แก่กว่าเจ็ดถึงแปดปีมักแย่งชิงอาหารจากเขาอยู่เสมอ แต่บิดามารดากลับมิได้ใส่ใจ เขาจึงมักกินไม่อิ่มอยู่เป็นนิจ การที่เขายังรอดชีวิตมาได้นั้นนับว่าเป็นโชคดีแล้ว
ในครั้งหนึ่งเมื่อเขายังเด็ก พี่ชายทั้งสองได้ผลักเขาลงสู่แม่น้ำที่น้ำไหลเชี่ยวกราก ซูซานหลางคือผู้ที่เสี่ยงชีวิตกระโจนลงไปช่วยเขาไว้ ตั้งแต่ครานั้นเป็นต้นมา เฉินหู่ก็ติดตามซูซานหลางไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นการหาผลไม้ป่า หรือเก็บไข่นก ซูซานหลางก็มักจะแบ่งให้เขาเสมอ น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นสะสมอยู่ในจิตใจของเขาและจารึกไว้ลึกซึ้งตลอดมา
เขามิเคยลืมเลยแม้สักครั้งเดียว
ซูซานหลางมองเฉินหู่ด้วยความซาบซึ้ง คำปฏิเสธที่คิดจะกล่าวกลืนหายลงไป เขาตบไหล่เฉินหู่เบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น "ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ข้าก็ไม่กลัวสิ่งใด กินข้าวเสร็จแล้วค่อยมาช่วยเถิด ข้าจะจดจำบุญคุณนี้ไว้ หากมีโอกาสในอนาคต..."
เขาจะตอบแทนเฉินหู่แน่นอน
แต่เฉินหู่กลับยิ้มและตัดบทก่อนที่ซูซานหลางจะกล่าวจบ "ต่อให้มีโอกาส ข้าก็มิปรารถนาให้ท่านตอบแทนหรอก เพราะนี่เป็นการชดใช้บุญคุณที่ข้าเคยติดค้างท่านต่างหาก"
หลังจากเฉินหู่ช่วยซูซานหลางขนหญ้ากลับเรือน เมื่อเห็นว่าซูฉงและพี่น้องอีกสองคนทำความสะอาดบ่อน้ำจนเกือบเสร็จสิ้น ความกังวลของเฉินหู่ก็จางหายไป
แม้ซูฉงและซูหัวจะมีปัญหาทางสมอง แต่พวกเขาก็เชื่อฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา