แม้เฉินหู่จะอยากช่วยมากกว่านี้ แต่เขารู้ดีว่าพ่อแม่ของเขาคงมิอนุญาต
ซูซานหลางตบไหล่เฉินหู่เบา ๆ พร้อมกับกล่าวว่า “อย่าเกรงใจไปเลย เจ้ากลับเรือนไปพักผ่อนเถอะ”
แม้เฉินหู่จะมิใช่พี่น้องแท้ ๆ ของเขา แต่ในใจของซูซานหลางกลับรู้สึกว่าเฉินหู่เป็นดั่งพี่น้องที่แท้จริงเสียยิ่งกว่า
เมื่อเห็นเฉินหู่เดินจากไปใต้แสงจันทร์ ซูซานหลางจึงเก็บของและเดินกลับเข้าเรือนเช่นกัน
ในสมัยโบราณมักมีคำกล่าวว่า "การซ้ำเติมผู้ล้มลงนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่การหยิบยื่นความช่วยเหลือในยามยากลำบากนั้นย่อมหายากยิ่ง"
สำหรับความช่วยเหลือจากเฉินหู่ในครั้งนี้ ซูซานหลางจะจดจำไปชั่วชีวิต
เมื่อซูซานหลางเข้ามาในเรือน เขาพบว่าจ้าวซื่อยังคงมิได้นอน เขาจึงอดมิได้ที่จะถามว่า “ทำไมยังไม่นอนเล่า เจ้าสี่กวนหรือไม่?”
จ้าวซื่อยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไม่เลย เจ้าสี่ว่าง่ายมาก พ่อของลูก นั่นเจ้าหู่มาช่วยใช่หรือไม่?”
ซูซานหลางพยักหน้า พลางยื่นมือไปลูบซูเสี่ยวลู่ที่หลับใหลเบา ๆ แล้วนอนลง เขากล่าวขึ้นว่า "เขาจะช่วยข้าเปลี่ยนหลังคาให้เรียบร้อย ช่วงนี้แดดจัดมาก แต่เห็นทีพายุฝนจะใกล้มาแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปเก็บเกาลัดก่อนกลับมาแต่เช้า แล้วไปตัดหญ้าครึ่งวัน ตอนค่ำเจ้าหู่จะมาช่วยข้าเพื่อจักสาน หลังจากนั้นข้าจะลงมือซ่อมหลังคาที่เรือน"
"ลำบากเจ้าเลย"
จ้าวซื่อมีความรู้สึกหลากหลายอยู่ในใจ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเพียงประโยคเดียว นางยังอยู่ในช่วงพักฟื้นหลังคลอด ไม่สามารถช่วยซูซานหลางทำอะไรได้เลย ภาระงานเรือนทั้งหมดจึงตกอยู่ที่ซูซานหลางเพียงผู้เดียว
หากลูกชายทั้งสองคนหัวดี คงช่วยงานได้บ้าง แต่ว่าเฮ้อ...
ซูซานหลางเหมือนจะรู้ถึงความกังวลของจ้าวซื่อ เขายื่นมือไปลูบผมของนางอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า "ลำบากอะไรกันเล่า ง่ายกว่าที่ผ่านมาเยอะแล้ว ต่อไปของที่เรือนเรามีก็จะเป็นของเราเอง รอให้ข้าว่างแล้ว ข้าจะไปตัดไม้ไผ่มาสานตะกร้าหวาย เศรษฐีทั้งหลายมักใช้ตะกร้าหวายเก็บของกัน อย่าได้กังวลไปเลย วันหน้าชีวิตเราจะดีขึ้นเรื่อย ๆ"
เมื่อฤดูหนาวใกล้มาถึง ซูซานหลางรู้ดีว่าจ้าวซื่อกังวลเรื่องอะไร แม้ในใจเขาก็กังวลเช่นกัน แต่ก็ยังพยายามปลอบโยนจ้าวซื่ออย่างอ่อนโยน
"เมื่อก่อนเจ้าก็ไม่เคยได้พักฟื้นหลังคลอดเต็มเดือนเลย คราวนี้พวกเราจะพักฟื้นครบหนึ่งเดือน ยาที่หมออู๋จ่ายมา กินได้ตลอดเดือน ข้าจะให้ซานเม่ยต้มยาให้เจ้าดื่มทุกวัน อีกสองวันข้าจะไปดูที่ดักปลา หากโชคดี เราอาจได้อะไรกลับมาก็เป็นได้"
ซูซานหลางลูบใบหน้าของจ้าวซื่ออย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล จ้าวซื่อผอมมากจนกระดูกแก้มของนางทิ่มมือเขา ตั้งแต่ช่วงที่เพิ่งออกจากเรือนมามันลำบากมาก แต่ตอนนี้เขาได้ทำใจยอมรับและคิดตกแล้ว
แม้ว่าจะมีอาหารไม่มาก แต่ก็พอเลี้ยงท้องได้ ในเรือนหลังเก่าของพวกเขาก็ไม่เคยได้กินอิ่มกันทั้งครอบครัว มีเนื้อก็ไม่ถึงมือพวกเขา
อย่างน้อยตอนนี้ ทุกสิ่งที่มีในเรือน พวกเขาทั้งครอบครัวก็สามารถกินได้
"ดี ข้าจะฟังเจ้า"
จ้าวซื่อพิงตัวซูซานหลาง แม้ว่าเรือนจะยากจน แต่หัวใจของพวกเขาสองสามีภรรยาก็ยังคงอยู่เคียงกันเสมอ
ซูเสี่ยวลู่ที่ตื่นขึ้นมาเพราะปวดปัสสาวะ ได้ยินบทสนทนานี้ นางอดคิดไม่ได้ว่า พ่อแท้ ๆ ของนางก็ดูเป็นคนดีอยู่มาก
จ้าวซื่อร่างกายอ่อนแอ หากได้พักฟื้นครบหนึ่งเดือนเต็ม ก็จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายนางอย่างมาก
การได้อยู่ในครอบครัวเช่นนี้ นางรู้สึกยินดีมาก ชาติที่แล้วนางเป็นเพียงเด็กกำพร้า หมอจีนชราที่รับเลี้ยงนางบอกว่านางเป็นเด็กที่ถูกเขาเก็บมา ตอนนั้นผู้คนให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และในช่วงที่มีนโยบายควบคุมประชากร หลายคนที่แอบคลอดลูกแล้วพบว่าเป็นลูกสาว ก็มักจะทิ้งไว้ข้างถนนอย่างเงียบ ๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา