เมื่อมีอาหาร ไก่สองตัวก็ร่าเริงกันมาก แต่ซูซานเม่ยสังเกตเห็นว่าแม่ไก่กลับไม่มาร่วมกิน นางกลับนั่งนิ่งอยู่บนกองฟาง ซูซานเม่ยก็พลันตระหนักถึงบางสิ่ง
นางรีบไปดึงซูฉงและซูหัว แล้วทำท่าให้ทั้งสองเงียบเสียง ก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง อย่าส่งเสียงดังนะ แม่ไก่ของเรากำลังจะออกไข่แล้ว”
แม่ไก่จะออกไข่ ซูฉงและซูหัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงเดินตามซูซานเม่ยอย่างระมัดระวัง แล้วแอบนั่งยอง ๆ ดูอยู่ข้างนอกเล้าไก่เงียบ ๆ
แม่ไก่ที่กำลังออกไข่ระแวดระวังอยู่ตลอด แม้เพียงเสียงรบกวนเล็กน้อยก็ทำให้มันไม่สบายใจได้ แต่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ แม่ไก่ก็ออกไข่เสร็จอย่างรวดเร็ว
จากนั้นมันก็กระโดดออกจากรังไก่ วิ่งไปหาซูซานเม่ยพร้อมกับร้อง ‘กุ๊ก ๆ’
แต่ภายในรังไก่ เหลือทิ้งไว้เพียงไข่ไก่สีขาวฟองหนึ่ง
ซูซานเมย่เข้าไปในเล้า แล้วหยิบไข่ไก่ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นบอกพี่ชายทั้งสองว่า “ไป ไปบอกท่านพ่อกันเถอะ”
ซูซานเหมยดีใจมาก พลางหันไปพูดกับแม่ไก่ในเล้าว่า “เจ้าเก่งมาก รอเดี๋ยวข้าจะไปจับแมลงมาให้เจ้ากินอีก”
ไข่ไก่ฟองใหญ่นี้ เป็นรางวัลที่เงียบงันแต่มีความหมาย
ทันทีที่เข้ามาในเรือน ซูซานเม่ยก็ยิ้มพลางพูดว่า “ท่านพ่อดู วันนี้มีไข่อีกฟองหนึ่งแล้ว”
ซูซานหลางรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ตั้งแต่แม่ไก่ตัวนี้เริ่มออกไข่ มันก็ออกทุกวัน แถมไข่ยังฟองใหญ่ เมื่อเทียบกับไข่ที่ซูเสี่ยวจือนำมาให้แล้ว ก็ยิ่งเห็นความแตกต่างชัดเจน
ซูซานหลางรับไข่ไก่มาพลางยิ้มแล้วพูดว่า “ลูกเอ๋ย อาหญิงของพวกเจ้านำไข่มาให้เต็มตะกร้าเลย วันนี้พ่อจะต้มไข่ลวกให้พวกเจ้ากินกัน”
ข้าวยังคงเป็นข้าวผสมกับข้าวโพดบดละเอียด ส่วนกับข้าวเป็นผักแห้งแช่น้ำจนนิ่ม หั่นเนื้อหมูแห้งชิ้นเล็กใส่ลงไปต้ม จากนั้นเขาก็ตอกไข่หกฟองทำเป็นซุปไข่ลวก
เพราะซูเสี่ยวจือมา ทำให้ถ้วยข้าวไม่พอ ซูซานหลางจึงเรียกซูเสี่ยวจือมากินข้าว หลังจากตักข้าวให้ลูก ๆ เรียบร้อยแล้ว เขาก็ยกข้าวของจ้าวซื่อเข้าไปในเรือน
เพียงชั่วเวลาหนึ่งยาม ซูเสี่ยวจือก็เย็บเสื้อผ้าฝ้ายของเด็กทั้งสามเสร็จแล้ว ซูซานหลางรู้สึกอบอุ่นใจ พลางพูดว่า “แม่ กินข้าวเถอะหนา ไก่ของเราวางไข่อีกฟองแล้ว และเสี่ยวจือก็นำไข่มาให้เต็มตะกร้า หลังจากนี้ข้าจะต้มไข่ให้เจ้ากินทุกวัน”
“พ่อ เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก ออกไปต้อนรับเสี่ยวจือเถอะ”
จ้าวซื่อรับถ้วยข้าวมาแล้วเร่งให้ซูซานหลางออกไปข้างนอก
นางก้มตาลง ไม่ให้ซูซานหลางเห็นน้ำตาของนาง
ซูซานหลางออกมา เห็นว่าซูเสี่ยวจือและลูก ๆ ยังไม่ได้เริ่มกินข้าว เขารีบไปหยิบถ้วยไม้ไผ่มาตักข้าว พลางพูดว่า “กินเถอะ กินเถอะ”
เมื่อซูซานหลางนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ซูเสี่ยวจือก็ยิ้มพลางพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ กินข้าวกันเถอะ”
ซูเสี่ยวจือคีบไข่ลวกให้ลูกทั้งสามคน เมื่อเห็นว่าเหลืออยู่เพียงฟองเดียว นางก็คีบให้ซูซานหลางโดยไม่ต้องคิดอะไร
ซูซานหลางรีบห้ามพลางพูดว่า “เสี่ยวจือ พี่ไม่กินไข่หรอกนะ ถ้าเจ้ามิได้กิน ข้าจะโกรธจริง ๆ”
ซูเสี่ยวจือไม่มีทางเลือก นางรู้ว่าซูซานหลางพูดจริง
ครั้นรับประทานอาหารเสร็จ ซูเสี่ยวจือก็เตรียมจะเดินทาง ซูซานหลางหยิบไข่ไก่สองฟองที่แม่ไก่ในเรือนออกมาให้เพื่อส่งซูเสี่ยวจือถึงประตู เขากล่าวว่า “เสี่ยวจือ พี่ก็ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนเจ้า ไข่สองฟองนี้ แม่ไก่ในเรือนออกมาเอง มิได้มีค่ามากนัก เจ้ารับไปเป็นเคล็ดนำโชคเถิด”
ซูเสี่ยวจือไม่ปฏิเสธ นางรับไข่ไก่พลางพูดว่า “พี่ชายสาม ถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับแล้วหนา ปีหน้าข้าจะมาเยี่ยมพวกท่านอีก”
“ดีแล้ว เดินทางปลอดภัยหนา”
หวังซื่อมองซูเสี่ยวจือจากไป แต่ในใจก็ยังไม่หายโกรธ นางเท้าสะเอวกระทืบเท้าพลางพูดด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “รอให้หิมะตกปกคลุม ข้าจะดูว่าพวกคนไร้ค่าเรือนนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร! แหวะ—พวกตัวจัญไรอกตัญญู ทำให้ข้าต้องโมโหจนแทบตาย!”
หลังจากด่าเสร็จ หวังซื่อก็หันกลับไปด้วยความโกรธเกรี้ยว และระบายอารมณ์ใส่หลี่ซื่อและโจวซื่อว่า “มองอะไร มองไปจะได้ข้าวมาไหม รีบไปทำงานเร็วเข้า ใครขี้เกียจก็ไสหัวออกจากเรือนนี้ไป!”
หลี่ซื่อและโจวซื่อต่างมีความทุกข์อยู่ในใจ แต่ไม่กล้าเถียงกับหวังซื่อต่อหน้า ได้แต่แอบสาปแช่งให้นางตายไปเสียเร็ว
เมื่อในเรือนไม่มีจ้าวซื่อที่เคยทำงานหนักและอดทนรับความอัดอั้นคนนั้น หวังซื่อจึงเอาความโกรธทั้งหมดมาลงที่หลี่ซื่อและโจวซื่อแทน
แต่ก่อนก็ไม่เคยรู้สึกอะไร แต่ตั้งแต่ครอบครัวของเรือนสามแยกออกไป หลี่ซื่อและโจวซื่อก็โดนดุด่าไม่น้อย ทว่าก็ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้เลย
งานในเรือนทั้งมากและเหนื่อย หลี่ซื่อและโจวซื่อต้องออกไปทำงานในไร่ ส่วนงานหุงหาอาหารในเรือน หวังซื่อก็ให้ลูกสาวของโจวซื่อช่วยทำ การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงทำให้ทุกคนต่างรู้สึกเหนื่อยล้า
หลี่ซื่อและโจวซื่อสะพายตะกร้าไปยังทุ่งนา คู่สะใภ้ทั้งสองจึงอดที่จะพูดคุยกันไม่ได้
“งานนี้ยังต้องเหนื่อยอีกสักหนึ่งถึงสองเดือน เหนื่อยแทบตาย ทั่วหมู่บ้านหนานซานไม่มีแม่สามีคนไหนใจร้ายยิ่งกว่าท่านแม่ของพวกเราอีกแล้ว”
หลี่ซื่อบ่นพึมพำ ในใจเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ หวังซื่อทั้งขี้เหนียวและใจร้าย หากมีโอกาสก็ด่าทอด้วยคำพูดแสนเจ็บแสบ ฟังแล้วแทบโมโหจนขาดใจ
โจวซื่อเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ใครจะว่าไม่จริงเล่า แม้แต่ลูกชายลูกสาวของตนเองก็ยังไม่ต้องการ ชีวิตแบบนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุดเสียที”
ถ้าจะพูดถึงความหวัง ก็คงมีเพียงหวังให้ลูกชายของตนเรียนหนังสือจนประสบความสำเร็จ เมื่อถึงเวลานั้น หวังซื่อก็คงแก่ชราแล้ว
หลี่ซื่อถอนหายใจ เวลานี้นางกลับรู้สึกอิจฉาจ้าวซื่อขึ้นมา นึกถึงครอบครัวของนางที่มีลูกชายสามคน แต่ละคนก็สุขภาพแข็งแรง เมื่อแยกครอบครัวออกไปแล้วชีวิตคงจะดีขึ้นแน่ ๆ
นางมองไปที่โจวซื่อ แล้วพูดราวกับเอ่ยขึ้นโดยไม่ตั้งใจว่า “ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกอิจฉาน้องสะใภ้สามขึ้นมาเสียแล้ว”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา