ตอนค่ำ ซูซานเม่ยก็เล่าเรื่องนี้ให้ซูซานหลางฟัง
“ท่านพ่อ แยกกระต่ายสีเทาตัวเกเรนั้นออกเถอะ ขนของตัวอื่นถูกมันดึงออกไปเยอะแล้ว”
ซูซานเม่ยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะตอนที่นางมองอยู่ กระต่ายสีเทาไม่กล้าทำ แต่พอนางเผลอ กระต่ายสีเทาก็ไปดึงขนของตัวอื่นอีก
ซูซานหลางก็รู้สึกกลุ้มใจอยู่บ้าง หากจะแยกเลี้ยงตอนนี้ เขาก็ไม่มีกรงเหลือ
จ้าวซื่อได้ยินแว่ว ๆ นางมีข้อสันนิษฐานในใจ จึงไม่รอให้ซูซานหลางพูด นางก็ตะโกนจากในเรือนว่า “พ่อ เข้ามาในเรือนหน่อย ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”
ซูซานหลางได้ยินเสียงเรียกของจ้าวซื่อ ก็วางกระต่ายไว้ด้านข้าง แล้วรีบหันตัวเข้าเรือนทันที
เมื่อเข้ามาในเรือน จ้าวซื่อมองซูซานหลางแล้วพูดว่า “พ่อ ข้าอาจรู้ว่าทำไมกระต่ายถึงเป็นเช่นนั้น แม้ข้าจะไม่แน่ใจนัก ข้าเคยได้ยินคนอื่นพูดว่า เมื่อกระต่ายจะออกลูก มันจะถอนขนทำรัง กระต่ายตัวนั้นอาจจะกำลังจะคลอดลูกกระต่ายก็เป็นได้”
ซูซานหลางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “แล้วจะทำอย่างไรดี?”
ซูซานเม่ยเดินตามเข้ามาในเรือนและฟังเงียบ ๆ เมื่อได้ยินว่าจะมีลูกกระต่าย นางก็รู้สึกตื่นเต้นและพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ เราเลี้ยงพวกมันไว้เถอะ ต่อไปเราจะมีกระต่ายมากมาย ข้าจะถอนหญ้ามาให้กระต่ายกินได้เยอะ ๆ เลย”
ซูซานหลางรู้สึกตัวและรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา หากมีลูกกระต่ายหนึ่งครอก เลี้ยงให้โตขึ้นก็จะกลายเป็นฝูงเลยไม่ใช่หรือ?
“พ่อ ไม่ว่ามันจะท้องหรือไม่ก็ตาม แยกกระต่ายตัวนั้นออกไปเลี้ยงก่อน หากไม่มีกรงก็ไม่เป็นไร ใช้ตะกร้าหวายครอบไว้ก่อน”
แววตาของจ้าวซื่อเป็นประกาย แม้ว่าจะยังไม่แน่ชัด แต่เพียงแค่คิดก็ทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก
ซูซานหลางพยักหน้า “ได้ ฟังเจ้าก็แล้วกัน”
ซูซานหลางออกไปแยกกระต่ายทั้งสี่ตัว ยังยกกระต่ายขึ้นดูเป็นพิเศษ กระต่ายสีเทาที่อาจจะตั้งท้องนั้นหนักกว่าตัวอื่นจริง ๆ และยังดุอีกด้วย พอยกมันขึ้นมันก็เตะขาดิ้นไปมา
ซูซานหลางยิ้มพลางแยกมันออกมาเลี้ยงเดี่ยว
อาจเป็นเพราะมีความหวัง ทำให้ทุกคนในครอบครัวอารมณ์ดี ข้าวหยาบ ๆ ก็กินได้อร่อยขึ้น
ซูซานหลางเสียดายที่จะกินหมูเค็มทุกวัน ดังนั้นหลาย ๆ ครั้งจึงมักจะต้มกินกับผักแห้งแทน
ใช้น้ำที่ต้มไข่ลวกมาต้มผัก หลอกตัวเองว่ามีรสเนื้ออยู่บ้าง
แม้อาหารจะไม่ดีนัก แต่ลูกทั้งสามคนก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย เคี้ยวอย่างช้า ๆ ราวกับได้กินของอร่อย ซูซานหลางคิดในใจว่า ชีวิตคงจะดีขึ้นในไม่ช้า
เช้าวันถัดมา ซูซานหลางตั้งใจสานกรงใหม่ให้กระต่ายโดยเฉพาะ
ซูซานเม่ยพาพี่ชายทั้งสองไปจับแมลงมาให้ซูซานหลาง เพื่อนำไปใส่ในกับดัก
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ซูซานเม่ยก็พาสองพี่ชายไปถอนหญ้ามาให้กระต่ายกิน"
รอซูซานหลางตรวจกับดักเสร็จแล้วกลับมา เขาถือไก่ป่าตายติดมือมาด้วยหนึ่งตัว
ซูฉงและซูหัวเข้ามาล้อม มองดูอย่างตาเป็นประกาย แม้พวกเขาไม่ได้พูดออกมา แต่สายตาก็บอกชัดว่า “ท่านพ่อ พวกเราจะได้กินหรือไม่?”
ซูซานเม่ยก็มีคำถามนี้เช่นกัน มันตายแล้ว ควรขายหรือควรกินดี?
ซูซานหลางดูเหมือนจะเห็นคำถามในสายตาของลูก ๆ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ไก่ตัวนี้ตายแล้ว ถ้าเอาไปขายในเมืองคนคงจะรังเกียจว่าไม่สด เดี๋ยวพ่อจะต้มน้ำจัดการให้เรียบร้อย คืนนี้พ่อจะตุ๋นซุปไก่ให้พวกเจ้ากิน”
“เย้! ดีเลย!”
ซูฉงและซูหัวดีใจมากเหลือเกิน
ซูซานเม่ยส่ายหัว “ข้าอยากให้ท่านแม่กิน กินแล้วจะได้บำรุงร่างกาย”
ซูซานเม่ยมองจ้าวซื่อ ช่วงนี้สีหน้าของจ้าวซื่อดีขึ้นไม่น้อย แต่นางก็ยังกลัว กลัวว่าจ้าวซื่อจะซีดเซียวเหมือนวันที่คลอดเจ้าสี่
กลิ่นคาวเลือดที่แรงในวันนั้น ซูซานเม่ยไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต เวลานั้นนางเพิ่งเข้าใจว่าความตายคืออะไร นางรู้ว่าถ้าแม่ตาย ก็จะไม่มีแม่อีกแล้ว
แต่นางไม่อยากไม่มีแม่ ซูซานเม่ยยัดลูกอมใส่ปากของจ้าวซื่อ แล้วลุกขึ้นหยิบผ้าอ้อมไปซัก
จ้าวซื่ออมลูกอมไว้ แต่น้ำตาก็ยังไหลลงอาบแก้ม
นางถอนหายใจเบา ๆ บีบมือน้อย ๆ ของซูเสี่ยวลู่อย่างแผ่วเบา ขณะห่อตัวให้นางพร้อมพูดว่า “เจ้าสี่ สวรรค์ช่างเมตตาแม่เสียจริง ให้แม่ได้พบกับท่านพ่อของพวกเจ้า และมีลูกที่ว่าง่ายอย่างพวกเจ้า แม่จะต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรง จะได้เห็นพวกเจ้าเติบใหญ่ และได้แต่งงานกับคนดีๆ...”
ซูเสี่ยวลู่มองจ้าวซื่ออย่างจริงจัง แล้วส่งยิ้มให้นาง
ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน เมื่อโตขึ้นอีกหน่อย นางจะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับครอบครัว สำหรับพี่สาวสามที่แสนดี นางจะเลือกคู่ครองที่เหมาะสมให้ด้วยตนเอง
ส่วนพี่ชายผู้โง่เขลาทั้งสอง หากรักษาหายก็จะมีการแต่งงานที่ดี แต่งงานมีลูก หากรักษาไม่หาย นางก็จะเลี้ยงพี่ชายทั้งสองไปตลอดชีวิต อนาคตนางจะเป็นหมอ และพี่ชายทั้งสองสามารถเป็นผู้ช่วยตากยา ด้วยแรงงานของพวกเขาเองก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้ตลอดชีวิต
เมื่อถูกจ้าวซื่อตัวให้เรียบร้อย ซูเสี่ยวลู่ก็เริ่มหลับ ตอนนี้นางยังเป็นเพียงทารกน้อย ก็ควรนอนหลับอย่างว่าง่าย
จ้าวซื่อมองดูซูเสี่ยวลู่ที่หลับไปอย่างรวดเร็ว นางก้มลงจูบหน้าผากของซูเสี่ยวลู่เอย่างแผ่วเบา แล้วพูดว่า “เจ้าสี่ของแม่ช่างว่าง่ายจริง ๆ หลับเถอะ แม่จะตัดเย็บเสื้อผ้าให้ท่านพ่อ พี่ชาย และพี่สาวของเจ้า”
จ้าวซื่อนั่งตัดเย็บเสื้อผ้าเงียบ ๆ ในเรือน ขณะที่ซูซานเม่ยซักผ้าอ้อมจนเสร็จ เนื้อไก่ก็ตุ๋นจนสุก นางจึงดึงฟืนใหญ่ออก เหลือไฟอ่อน ๆ ในเตาเพื่อเคี่ยวไก่ต่ออย่างช้า ๆ
นางออกไปถอนหญ้าและจับแมลง เพื่อเลี้ยงไก่และกระต่าย
เมื่อฟ้าเริ่มมืด หลังจากขุดดินมาทั้งวัน ซูซานหลางมองแปลงดินที่ขุดได้เกือบครึ่งไร่ ด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจเต็มหัวใจ

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา