เมื่อเตรียมดินเสร็จ ซูซานหลางก็กลับเรือน หาได้ยากนักที่จะได้พักหนึ่งวัน
ร่างกายของจ้าวซื่อแข็งแรงขึ้น ช่วงนี้จับสัตว์ป่าได้ต่อเนื่อง บางตัวเลี้ยงไว้ บางตัวก็ฆ่าเพื่อนำมาทำอาหารให้ครอบครัวกิน
เมื่อมีเนื้อกิน สีหน้าของทุกคนในครอบครัวก็ดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ลูก ๆ ไม่ผอมแห้งอีกต่อไป และสีหน้าก็ไม่ซีดเหลืองอีกแล้ว"
ซูซานเม่ยพาซูฉงและซูหัวไปจับแมลง ส่วนซูซานหลางก็เข้าไปในเรือนนั่งคุยกับจ้าวซื่อ
จ้าวซื่อเห็นเขานั่งลง ก็หยิบเสื้อผ้าที่ทำเสร็จแล้วออกมาแล้วพูดว่า “พ่อ ข้าตัดเย็บเสื้อผ้าเสร็จหมดแล้ว พรุ่งนี้เจ้าจะเข้ามือง ลองสวมดูสิ ว่าใส่สบายหรือไม่”
ฝีเข็มของจ้าวซื่อละเอียดมาก เมื่อมองดูแล้ว เสื้อผ้าก็ดูดีทีเดียว ผ้าที่เหลือจากการทำเสื้อกันหนาว ยังตัดเสื้อบางให้เขาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งสวมแล้วพอดียิ่กนัก
ซูซานหลางยิ้มพลางกล่าวว่า “พอดีอย่างยิ่งแม่ของลูก ลำบากเจ้าแล้วแม่ของลูก”
จ้าวซื่อโบกมือแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้ลำบากอะไร แค่ขยับมือทำ แต่ช่วงนี้เจ้าต่างหากที่ลำบากอย่างแท้จริง”
ซูซานหลางไม่ได้รู้สึกลำบากเลย เขารู้สึกว่าในใจมีแต่ความหวานชื่น
“แม่ รอให้ขายของพวกนี้ได้ก่อน ข้าจะซื้อข้าวและเมล็ดพันธุ์กลับมาเก็บไว้ แล้วนำเมล็ดผักไปหว่านในแปลงดิน แบบนี้พอถึงหน้าหนาวก็ไม่ต้องกังวลแล้ว”
กระต่ายป่าในเรือนมีถึงสิบสามตัวที่สามารถขายได้ ไก่ป่ามีแปดตัว และยังมีนกเขาอีกหกตัว ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการล่าช่วงที่ผ่านมา คำนวณดูแล้ว คงจะขายได้เงินไม่น้อยทีเดียว
ข้าวสารในเรือนไม่พอกิน จำเป็นต้องซื้อมาเก็บไว้บ้าง อย่างนี้จ้าวซื่อก็จะได้ไม่ต้องกังวลใจ
ซูซานหลางวางแผนทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว จ้าวซื่อก็วางใจ นางพยักหน้าและพูดว่า “ดี เจ้าจัดการได้ดี ข้าจะฟังเจ้า”
เมื่อชีวิตเริ่มมีความหวัง สองสามีภรรยาก็หันมามองหน้ากันแล้วยิ้ม
เวลานี้ไม่ต้องการคำพูดใด ๆ อีกแล้ว ความอบอุ่นอยู่ในใจอย่างสบายใจ
ซูซานหลางมองไปที่ซูเสี่ยวลู่ที่นอนอยู่บนเตียง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกรักใคร่ ใกล้จะครบเดือนแล้ว เจ้าหนูน้อยขาวเนียนนุ่ม ดวงตาที่แสนสดใสมองมาทำให้หัวใจละลาย
“เจ้าสี่ มองพ่อสิ ต๊ะ ต๊ะ ต๊ะ...”
ซูซานหลางหยอกล้อซูเสี่ยวลู่
ซูเสี่ยวลู่ก็อารมณ์ดี ยังยิ้มและส่งเสียง ‘อี้อี้’ อย่างมีร่าเริง
นางใกล้จะครบเดือนแล้ว แต่ยังไม่เคยได้ยินท่านพ่อท่านแม่เตรียมตั้งชื่อเลย ทุกครั้งก็เรียกแต่เจ้าสี่ เจ้าสี่ ซูเสี่ยวลู่ก็อดกังวลไม่ได้
พูดก็พูดเถอะ นางยังไม่เคยได้ยินท่านพ่อท่านแม่เรียกชื่อเล่นขอซูงซานเม่ยเลย ทุกครั้งก็เรียกแต่ซานเม่ย ซานเม่ย”
พี่ชายใหญ่เรียกเจ้าฉง พี่ชายรองชื่อเจ้าหัว
เมื่อนึกได้ว่าผู้หญิงอาจไม่มีชื่อ ซูเสี่ยวลู่ก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
ขณะที่ซูซานหลางหยอกล้อกับซูเสี่ยวลู่ จ้าวซื่อจึงบอกให้เขานอนคว่ำลง แล้วนางก็ช่วยนวดไหล่ให้
ซูซานหลางนอนหลับไปอย่างสบาย ซูเสี่ยวลู่ก็นอนนิ่ง ๆ อย่างว่าง่าย จ้าวซื่อลูบซูเสี่ยวลู่อย่างแผ่วเบาแล้วพูดว่า “เจ้าสี่ นอนกับพ่อเถอะหนา เป็นเด็กดี อย่ากวนท่านพ่อเข้าใจหรือไม่ ท่านพ่อเหนื่อยมากแล้ว”
จ้าวซื่อพูดอย่างอ่อนโยนเบา ๆ สายตาที่มองซูซานหลางเต็มไปด้วยความสงสาร
แน่นอนว่าซูเสี่ยวลู่เป็นเด็กว่าง่ายอยู่แล้ว กิจวัตรของนางตอนนี้ก็มีแค่กิน ดื่ม แล้วก็นอน
ซูซานหลางตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว เขาลูบหัวตัวเองพลางพูดว่า “ทำไมไม่ปลุกข้าล่ะ”
เขานอนหลับไปถึงสองชั่วยาม เสียเวลางานไปตั้งเยอะ
จ้าวซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “ก็ไม่ได้หลับนานเท่าไหร่หรอก”
ซูซานหลางรู้ว่าจ้าวซื่อห่วงใยตนเอง จึงไม่พูดอะไรมาก ลุกขึ้นแล้วออกไปข้างนอก
ซูซานเม่ยกับซูฉงและซูหัวกำลังเล่นก้อนหินกันอยู่ในลานเรือน เล่นกันอย่างสนุกสนาน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา