ซูเสี่ยวลู่ตื่นขึ้นมาหลังจากงีบไปสักพัก รู้สึกหิวจนไม่สบายตัว นางอยากร้องไห้ แต่เพราะมีมารดาที่อ่อนล้าอยู่ข้างๆ นางจึงอดทนไว้
จ้าวซื่อรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ยังอ่อนแอมาก
ดังนั้นซูเสี่ยวลู่จึงทำเหมือนอย่างที่นางเคยทำก่อนหน้านี้ ยื่นมือเล็กๆ ของนางไปที่ปากของจ้าวซื่อเพื่อป้อนน้ำพุวิญญาณให้
จ้าวซื่ออ่อนแอและเหนื่อยล้า นางที่สะลึมสะลือก็กลืนมันลงท้องโดยไม่รู้ตัว
ทันทีที่หลี่ซื่อผลักประตูเข้ามา ซูเสี่ยวลู่ก็ดึงมือกลับ
ตอนแรกนางคิดว่าเป็นบิดาของนางกลับมา แต่ผู้มาเยือนไม่ได้ส่งเสียงอะไร กลิ่นอายกลับดูไม่ค่อยเป็นมิตรนัก เมื่อผู้มาเยือนเดินเข้ามา ซูเสี่ยวลู่เห็นรางๆ ว่าเป็นสตรีนางหนึ่ง
นางยังไม่เคยเห็น และไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ถ้ามาที่นี่ได้ คิดๆ ดูนางก็รู้แล้ว
คงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพี่สะใภ้ของแม่นาง
หลี่ซื่อนั่งลงข้างเตียง นางไม่ได้สังเกตว่าซูเสี่ยวลู่ตื่นอยู่ นางสะกิดจ้าวซื่อเบาๆ พร้อมกับเรียก “น้องสะใภ้สาม น้องสะใภ้สาม ตื่นๆ พี่สะใภ้มีข่าวดีมาบอกเจ้า”
ที่มุมปากของหลี่ซื่อเผยรอยยิ้มได้ใจออกมาอย่างอดไม่ได้
จ้าวซื่อถูกหลี่ซื่อปลุก
จ้าวซื่อเรียก “พี่สะใภ้” อย่างสะลึมสะลือ
หลี่ซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องสะใภ้สาม พี่สะใภ้ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ครั้งนี้เจ้าจะได้มีอนาคตแล้ว ข้าอิจฉาเจ้าจริงๆ เจ้าไม่ต้องไว้หน้าท่านแม่ของเราแล้ว แม้ว่าบ้านหลังเก่าจะทรุดโทรมไปหน่อย แต่ก็เพียงพอให้ครอบครัวหกคนของเจ้าได้อยู่อาศัย แม้ว่าเจ้าฉงกับเจ้าหวาจะหัวไม่ดี แต่ตราบใดที่พวกเจ้าสอนดีๆ พวกเขาจะเป็นมือดีในด้านการทำงานแน่ ที่ดินก็อยู่ไม่ไกล หลังบ้านนั้นเอง ถ้าพวกเจ้าทั้งครอบครัวขยันทำมาหากินหน่อย อีกไม่กี่ปีจะต้องอุดมสมบูรณ์แน่ๆ ข้าล่ะอิจฉาจริงๆ”
“ยังมีอีกๆ ท่านแม่ยังให้ไก่กับเจ้าสองตัวด้วยนะ ตัวผู้หนึ่งตัว ตัวเมียหนึ่งตัว รอให้พวกมันวางไข่ ปีหน้าก็จะมีเป็นฝูง… แบ่งเนื้อให้พวกเจ้าอีกสิบจิน ผักใบเขียวของพวกเราก็แบ่งให้สามสิบจิน ตอนที่เจ้าอยู่ไฟจะได้มีผักมีเนื้อกินพอดี ว่ากันว่าอยู่ใกล้ภูเขาก็หากินกับเขา ตอนน้องสามว่างๆ ก็ยังสามารถเข้าไปหาของป่าหรือล่าสัตว์มาให้พวกเจ้าได้กินบ่อยๆ ได้ด้วยนะ”
“พี่น้องสะใภ้สาม เจ้านี่ช่างโชคดีจริงๆ พี่สะใภ้อย่างข้ารู้สึกอิจฉาเจ้ามาก เจ้าก็อย่าตื่นเต้นนักล่ะ พักผ่อนให้เต็มที่ ไว้รอท่านพี่กับน้องรองน้องสามย้ายของเสร็จแล้ว น้องสามก็จะมารับพวกเจ้าสองแม่ลูกไป”
หลังจากที่หลี่ซื่อพูดจบ ก็เห็นน้ำตาของจ้าวซื่อ นางแสร้งทำเป็นไม่เห็น ก่อนจะลุกขึ้นแล้วออกไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากหลี่ซื่อพูดเช่นนั้น จ้าวซื่อก็เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าครอบครัวของนางถูกแยกออกไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวซื่อรู้ดีว่าการแบ่งปันอาหารเล็กน้อยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ความรู้สึกของนางเพิ่งจะสงบ แต่ทันใดนั้นมันกลับขมขื่นราวกับกินหวงเหลียน
ครอบครัวของพวกเขาจะอยู่รอดในฤดูหนาวนี้ได้อย่างไร?
“อุ๊แง้”
ขณะที่จ้าวซื่อกำลังเจ็บปวด เสียงร้องไห้ที่อ่อนแอก็ดังขึ้นดึงความคิดของนางกลับมา
นางหันไปมอง เห็นว่าซูเสี่ยวลู่กำลังเบะปาก นางร้องไห้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อจ้าวซื่อมองนาง ซูเสี่ยวลู่ก็ยิ้มให้จ้าวซื่อ
“ซื่อเม่ย นี่เจ้าปลอบใจแม่อยู่หรือ?”
รอยยิ้มของทารกดูเหมือนจะมีพลังในการเยียวยา ซึ่งทำให้หัวใจของจ้าวซื่ออบอุ่นและเป็นกำลังใจให้นาง
นางเป็นแม่คน และนางก็ยังมีลูก ไม่ว่าจะลำบากขนาดไหน นางต้องอดทนต่อไป
“แอ๊ๆ”
ใช่ๆ ปลอบใจเจ้าอยู่
ซูเสี่ยวลู่มองไปที่จ้าวซื่อ แล้วส่งเสียง “แอ๊ๆ” พร้อมกับยิ้ม
จากที่ป้าสะใภ้ใหญ่คนนั้นพูด นางก็รู้แล้วว่าครอบครัวของนางต้องแยกออกไป สถานการณ์ยากลำบากมาก นางยังมีพี่ชายสองคน สมองดูเหมือนจะมีปัญหา ส่วนแบ่งที่ได้มาก็มีไม่มาก
เมื่อจ้าวซื่อได้ยินเสียงลูกชายปัญญาทึ่มทั้งสอง นางก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเจ้าเข้ามาเถอะ”
ซูฉงและซูหวาต่างก็มีปัญหาทางสมอง ซูฉงดีหน่อย ซูหวาจะแย่กว่าเล็กน้อย คำพูดติดปากที่นางมักจะพูดบ่อยๆ ก็คือ ‘เจ้าฉงต้องตั้งใจทำงานนะ ต้องเชื่อฟังพ่อของเจ้า อย่าเดินไปมา’ ‘เจ้าหวาต้องเชื่อฟังนะ ต้องเชื่อฟังพ่อของเจ้า ต้องเชื่อฟังพี่ชายของเจ้า ตั้งใจทำงานจะได้กินข้าวอิ่ม’
ภายใต้การซึมซับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ลูกชายทั้งสองคนแม้ว่าสติปัญญาจะไม่โตแล้ว แต่ก็ยังถือว่าดี พวกเขาเชื่อฟังและทำงาน แม้ว่าจะทำได้ไม่ดีก็ตาม
พวกเขาไม่ต่อยตีกับใครอย่างเชื่อฟัง ต่อให้ถูกคนอื่นตีพวกเขาก็จะไม่เอาคืน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงถูกคนอื่นทุบตีและบาดเจ็บอยู่หลายครั้ง พอนึกถึงลูกชายปัญญาทึ่มทั้งสองคนแล้ว จ้าวซื่อก็รู้สึกลำบากใจยิ่งนัก
เมื่อได้รับอนุญาตจากจ้าวซื่อ ซูฉงและซูหวาจึงเปิดประตูเข้ามา แล้วรีบไปข้างๆ จ้าวซื่อ นั่งลงมองน้องเล็กที่อยู่บนเตียงข้างจ้าวซื่อ
ซูเสี่ยวลู่ตื่นขึ้นมาก็ได้รู้จักกับพี่ชายปัญญาทึ่มทั้งสองคน
“น้องเล็กช่างน่ารักจริงๆ ตาเหมือนองุ่น องุ่นที่กินแล้วรสชาติเปรี้ยวๆ แล้วตาของน้องเล็กล่ะ?”
ซูฉงถามจ้าวซื่อด้วยความสงสัย
จ้าวซื่อพูดอย่างอดทน “กินตาของซื่อเม่ยไม่ได้ ตาของนางจะต้องใช้มองพวกเจ้า จะต้องปกป้องให้ดีที่สุด ถ้ากินแล้วนางจะมองไม่เห็นพวกเจ้า”
ซูฉงดูเหมือนจะเข้าใจ จึงหัวเราะตอบกลับไป “ไม่กินๆ น้องเล็กมองข้าอยู่”
ซูหวาไม่ได้พูดอะไร แต่ดูเหมือนกำลังพิจารณาสิ่งที่ซูฉงพูด สุดท้ายหลังจากคิดๆ แล้ว เขาก็ส่ายหัวและยิ้มให้ซูเสี่ยวลู่ก่อนจะพูดว่า “ไม่กิน ไม่กิน”
ซูเสี่ยวลู่ “แอ๊ๆ”
เมื่อนางได้ยินคำถามโง่ๆ จากพี่ชายปัญญาทึ่มทั้งสอง ก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่พอได้ยินคำชี้แนะของจ้าวซื่อ นางก็สบายใจ
ที่น่าเศร้าก็คือพี่น้องสองคนนี้มีปัญหาทางสมองจริงๆ
คนปกติไม่มีทางถามคำถามเช่นนี้ได้ ไม่รู้ว่าการดื่มน้ำพุวิญญาณทุกวันจะทำให้อาการดีขึ้นหรือไม่ ไม่รู้ว่าความโง่เขลาของพวกเขาจะสามารถรักษาได้หรือไม่ เรื่องนี้ไม่มีทางรู้ได้จนกว่านางจะโตขึ้นแล้วตรวจชีพจรให้พวกเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา