“แล้วอะไรคือความรู้ล่ะ?”
ซูฉงกับซูหวายังคงไม่เข้าใจ
จ้าวซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับตาแดง น้ำเสียงของนางสั่นเครือเมื่อเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าฉง เจ้าหวา หิวหรือยัง? ไปกินหมั่นโถวกันเถอะ”
ลูกชายสองคนของนาง ชาตินี้คงไม่มีวันเข้าใจว่าอะไรคือความรู้
จ้าวซื่อรู้สึกเจ็บปวดในใจ นางพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของลูกทั้งสอง แม้ว่าตอนนี้ที่บ้านจะสามารถกินอิ่มได้แล้ว แต่ซูฉงกับซูหวากลับดูเหมือนเด็กที่ร่างกายเติบโตขึ้น ทว่าความคิดกลับไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน
พวกเขาได้ยินคำของจ้าวซื่อ ก็พากันไปหยิบหมั่นโถวมารับประทาน และยังดึงซูซานเม่ยมาร่วมแบ่งด้วย
ในดวงตาของซูซานเม่ยเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางกินหมั่นโถวไปพลาง ฉีกแบ่งเล็กๆ ให้ซื่อเม่ยที่อยู่ข้างๆ ซูซานเม่ยถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยกับซื่อเม่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “ซื่อเม่ย ถ้าข้าเกิดเป็นชายก็คงจะดี ข้าจะได้แทนพี่ชายไปเรียนหนังสือและสร้างชื่อเสียงให้ครอบครัว ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดายที่ข้าเกิดเป็นหญิง เข้าโรงเรียนไม่ได้”
แคว้นต้าโจวยังคงมีระบบศักดินาเหมือนยุคโบราณ มีเพียงบุรุษเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าเรียน ส่วนสตรีถูกกำหนดให้อยู่บ้าน ทำหน้าที่หุงหาอาหาร ซักผ้า และทำงานบ้าน
ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา แคว้นต้าโจวสงบสุข ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คนส่วนใหญ่จึงยินดีส่งบุตรหลานไปเรียนหนังสือ โดยปกติเด็กๆ จะเริ่มเรียนตอนอายุราวแปดปี ปีนี้ หมู่บ้านหนานซานมีเด็กกว่าสิบคนเดินทางไปเข้าเรียนที่โรงเรียนในหมู่บ้านปาเจี่ยวซึ่งอยู่ใกล้เคียง
ซูซานเม่ยรู้สึกอิจฉา แต่ก็ตระหนักว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถไขว่คว้าได้ ความคิดนี้จึงเกิดขึ้นเพียงครู่เดียวก่อนจะสลายหายไปในที่สุด
ซูเสี่ยวลู่ยื่นมือน้อยๆ ของนางมาลูบผมของซูซานเม่ยเบาๆ พร้อมส่งรอยยิ้มปลอบโยนให้นาง
ซูซานเม่ยยิ้มบางๆ ใช้มือบีบแก้มซูเสี่ยวลู่อย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะเงียบไป
“ท่านปู่ ท่านย่า รอข้าได้เป็นขุนนางเมื่อไร ข้าจะหารถม้าคันใหญ่ให้ท่านนั่งอย่างสบายเลย”
“ท่านปู่ ท่านย่า รอข้าได้เป็นขุนนางเมื่อไร ของกินของเล่นดีๆ ข้าจะซื้อให้ท่านทั้งหมด!”
เสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ดังมาจากที่ไม่ไกลนัก
และมีเสียงหัวเราะอ่อนโยนของผู้สูงวัยดังแทรกขึ้นมา
“ดีๆ ตระกูลซูของเราก็ต้องฝากความหวังไว้ที่เจ้าซุ่นและเจ้าชิงแล้ว”
“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าซุ่นกับเจ้าชิงของเราฉลาดที่สุดในบ้าน!”
หวังซื่อพูดด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข ใบหน้าของนางแสดงถึงความยินดีอย่างชัดเจน
วันนี้พวกเขาเพิ่งไปสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนซึ่งเปิดโดยอดีตบัณฑิตซิ่วไฉ ค่าเรียนปีละหนึ่งตำลึงเงินกับข้าวสารอีกห้าสิบชั่ง
ตระกูลซูส่งเด็กไปเรียนสองคน คนหนึ่งคือซูซุ่นจากครอบครัวของซูต้าหลาง และอีกคนคือซูชิงจากครอบครัวของซูเอ้อร์หลาง
การจ่ายเงินจำนวนมากในคราวเดียวทำให้หวังซื่อรู้สึกเจ็บใจอยู่ไม่น้อย แต่พอกลับมาบ้าน ได้ยินคำพูดอันยิ่งใหญ่ของหลานชายทั้งสอง นางก็ยิ้มจนปากปิดไม่ลง ความรู้สึกเสียดายเงินในตอนแรกหายไปสิ้น นางกลับคิดว่ามันคุ้มค่าแล้ว
จ้าวซื่อที่ได้ยินเสียงเอะอะ จึงเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นสายตาของนางก็สบเข้ากับสายตาของหวังซื่อพอดี หวังซื่อเปลี่ยนสีหน้าทันที นางถ่มน้ำลายลงบนถนนริมแม่น้ำอย่างไม่ใยดี ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ พร้อมเอ่ยด่าเสียงดัง
“น่ารำคาญสิ้นดี!”
ซูซุ่นกับซูชิงที่อยู่ข้างๆ ก็เผยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะหันไปตะโกนใส่ซูฉงและซูหวาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“เจ้าสองคนโง่เง่า! จะโง่ไปจนตาย ไม่มีวันเก่งได้เท่าพวกเรา!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา