ในยุคโบราณ พวกชาวบ้านไม่สามารถพูดคุยเรื่องในราชวงศ์ได้ตามอำเภอใจ ครอบครัวธรรมดาไม่สามารถ
ดูเหมือนว่าหากนางอยากรู้ อย่างน้อยก็หลังจากนั้นสองสามปี
แต่ที่นี่ สามารถปลูกข้าวและข้าวโพดได้ อาหารหลักน่าจะเป็นข้าวและข้าวโพด น่าจะเป็นฝั่งทางใต้ พื้นที่อวิ๋นกุ้ยโจวและฉงชิ่งในปัจจุบันก็กินข้าวและข้าวโพดเป็นหลัก ในยุคโบราณน่าจะเรียกว่าเมืองจิ่นกวน เมืองอี้โจว เมืองฝูหรง
เรื่องเหล่านี้นางจะรู้เมื่อโตขึ้น
เมื่อเห็นว่าจ้าวซื่อกินอย่างเอร็ดอร่อย ซูเสี่ยวลู่ก็รู้สึกหิวเช่นกัน
สภาพจิตใจของจ้าวซื่อดีกว่าเมื่อวานมาก แม้ว่านางจะยังผอมมาก แต่สีหน้าก็ดีขึ้นมาก
ซูซานหลางเข้ามาเก็บชาม เห็นเช่นนั้นก็ดีใจ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อีกเดี๋ยวก็ต้มยาเสร็จแล้ว ซานเม่ยจะยกมาให้เจ้าดื่ม ข้าจะพาเจ้าฉงกับเจ้าหวาขึ้นเขาไปวางกับดักสัตว์สักสองสามที่ แล้วก็จะตัดฟืนมาด้วย อีกสองสามวันข้าจะเข้าเมืองไปถามตระกูลคนรวยพวกนั้นดูว่าอยากซื้อฟืนหรือไม่ ถึงตอนนั้นข้าจะได้ตัดฟืนไปขาย”
ซูซานหลางอธิบายอย่างละเอียด เพราะไม่อยากให้จ้าวซื่อกังวลเรื่องใช้ชีวิต เขามีอิสระแล้ว เขายังหนุ่มมีกำลังวังชา เขาอยากจะให้ครอบครัวได้กินอิ่ม
จ้าวซื่อจะไม่เข้าใจได้อย่างไร นางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “พ่อ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ห่อข้าวไปด้วยเถอะ รักษาตัวด้วย”
ซูเสี่ยวลู่มองซูซานหลางพร้อมรอยยิ้ม “อ๊า แอ๊ ย่า...”
ทักทายซูซานหลางด้วยคำพูดเหล่านี้
ใบหน้าของซูซานหลางก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน เขามองซูเสี่ยวลู่ด้วยสายตาอบอุ่นแล้วพูดว่า “ซื่อเม่ยเป็นเด็กดีจริงๆ เป็นเด็กดีนะ ไว้พ่อทำงานเสร็จแล้วจะกลับมาดูแลเจ้า”
เวลาไม่คอยท่า หลังจากซูซานหลางสั่งซูซานเม่ยแล้ว เขาก็พาซูฉงและซูหวาขึ้นไปบนภูเขา
เพราะอยู่ใกล้กับภูเขา แม้ว่าจะห่างไกลความเจริญ แต่มันก็ค่อนข้างสะดวก
ในเวลานี้ ทุกคนในหมู่บ้านยุ่งกับการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง แค่เก็บเกี่ยวธัญพืชของตัวเองก็ไม่ทันแล้ว ไหนเลยจะมีเวลาขึ้นเขา
หรือพูดอีกอย่าง ซูซานหลางถูกพ่อแม่ไล่ออกมา จึงไม่ต้องทำนาทำสวนเลยมีเวลาว่างขึ้นเขา
หลังจากที่ซูซานหลางจากไป ซูซานเม่ยก็ต้มยาแล้วนำมาให้จ้าวซื่อดื่มอย่างเชื่อฟัง
ยังช่วยจ้าวซื่อเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ซูเสี่ยวลู่ด้วย
ซูเสี่ยวลู่จะร้องไห้เฉพาะตอนที่นางอึหรือฉี่เท่านั้น หลังจากนางฉี่ไปสามรอบถึงจะร้องไห้
ฉี่สามรอบ นางพอจะทนได้ ทารกไม่ฉี่มาก ถ้าผ้าอ้อมเปียกเกินไป มันจะชื้นและไม่สบายตัว ห่อเอาไว้กับฉี่ชื้นๆ อาจจะเกิดผื่นคันได้
ถ้าสามครั้งก็พอประมาณแล้ว ต้องเปลี่ยนให้ทันเวลา จ้าวซื่อถึงจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลกับฉี่ที่เหม็นเน่า
หลังจากกินอิ่มแล้ว ซูเสี่ยวลู่ก็เข้านอน
ยิ่งกินมากก็ยิ่งนอนหลับมากขึ้น คือเป้าหมายในการอยู่รอดตอนนี้ของนาง
ซูซานเม่ยไม่ได้เกียจคร้าน นางขุดไส้เดือนในสวนเพื่อเอาไปเลี้ยงไก่สองตัวในบ้าน พอถึงตอนเที่ยงนางก็อุ่นข้าวมาให้จ้าวซื่อ
มีการบำรุงจากน้ำพุวิญญาณ จ้าวซื่อจึงสามารถลงจากเตียงได้ด้วยตัวเอง
นางอยากจะทำความสะอาดภายในบ้าน แต่ขณะที่นางกำลังจะเดินออกไป ซูเสี่ยวลู่ก็ร้องไห้
ร่างกายของจ้าวซื่อยังอ่อนแอ จะทำงานหนักในเวลานี้ได้อย่างไร นี่เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการตายก่อนวัยอันควร
ซูเสี่ยวลู่ร้องไห้เหมือนใจจะขาด จ้าวซื่อจนปัญญาเลยต้องกลับขึ้นมาบนเตียงเพื่อปลอบใจนาง หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง เห็นน้ำตาที่ไหลพรากบนใบหน้าของซูเสี่ยวลู่ จ้าวซื่อก็ใจอ่อน เช็ดน้ำตาให้นางแล้วถอนหายใจว่า “ซื่อเม่ย เจ้ากลัวว่าแม่จะไม่อยู่ด้วยหรือ? อย่ากลัวเลยนะ แม่อยู่นี่แล้ว”
ซูเสี่ยวลู่เบ้ปาก “อุแง๊ อุแง๊ อุแง๊...”
ร่างกายไม่ค่อยจะดี ถ้าทำงานหนักอีก คงอยู่ไม่เกินเดือนนี้
ต่อให้นางจะใช้เส้นผมคิด นางก็รู้ว่าย่าใจร้ายผู้นั้นใจร้ายแค่ไหน หลายครั้งก่อนไม่ยอมให้จ้าวซื่ออยู่ไฟเลย
ดังนั้นสภาพร่างกายของจ้าวซื่อจึงแย่มาก แม้ว่าจะได้น้ำพุวิญญาณบำรุงในสองวันที่ผ่านมา ก็บำรุงพลังงานเพียงชั่วคราวเท่านั้น การบำรุงร่างกายจำเป็นต้องใช้เวลาอีกนาน
นางไม่ต้องตรวจชีพจรให้จ้าวซื่อด้วยซ้ำ ก็รู้ว่าสุขภาพของจ้าวซื่อไม่ดีนัก
ซูซานเม่ยไม่ได้สนใจมากนัก รับมาเช็ดทำความสะอาดแล้วผ่าเปลือกออกกินเนื้อข้างใน
ทั้งสามคนนั่งยองๆ อยู่ในลานบ้าน และกินอย่างมีความสุข
ซูซานหลางเข้าไปในบ้าน พูดกับจ้าวซื่อด้วยรอยยิ้ม “แม่ เจ้าว่าข้าโชคดีหรือไม่ ข้ากับเจ้าฉงเจ้าหวาขึ้นไปบนเขา ก็เห็นต้นเกาลัดป่าต้นนี้ ปีหน้าก็คงทุบกินไม่หมด และช่วงนี้ก็เป็นช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงด้วย ต้นไม้ต้นนี้พอจะทำให้พวกเราทั้งครอบครัวกินอิ่มได้”
“วันนี้ข้าไม่ได้เอากระบุงไปด้วย เลยเก็บมาได้แค่สี่ห้าจินเท่านั้น คิดว่าถ้าขึ้นไปบนต้นไม้น่าจะเก็บกลับมาได้หลายสิบจิน”
ซูซานหลางมีความสุขมาก รู้สึกว่าโชคดีไม่น้อย หลังจากขึ้นเขา แล้ววางกับดักไปสองสามชุด ก็เจอต้นเกาลัดป่าต้นนี้ โชคดีที่มันอยู่ในช่วงสุกพอดี แต่ก่อนต้องรอให้เก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงเสร็จแล้ว ก่อนที่หิมะจะตก พวกชาวบ้านก็จะขึ้นเขาไปตัดฟืน
ต้นเกาลัดต้นนี้ ใครที่เจอก็ต้องเก็บ ปีนี้ทุกคนกำลังเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงกันอยู่ และเขาก็เจอมันก่อน ดังนั้นจึงเป็นของครอบครัวพวกเขา
จ้าวซื่อก็มีความสุขเช่นกัน แต่นางก็ยังสั่งด้วยเสียงอ่อนโยน “พ่อ เจ้าเองก็ต้องระวังด้วย ต้นไม้สูงๆ ก็ช่างเถอะ ต้องเอาความปลอดภัยไว้ก่อน”
ซูซานหลางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ พรุ่งนี้ข้าจะไปเก็บกลับมาให้หมด เก็บไว้กินบางส่วน บางส่วนก็เอาไปขาย”
เมื่อแยกบ้าน พ่อแม่ไม่แบ่งเงินให้พวกเขาแม้แต่อีแปะเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวในฤดูหนาวนี้ด้วยตัวเอง
เกาลัดป่าถือว่าหายากเช่นกัน จึงต้องเลือกดูหน่อย ลูกที่ไม่ดีก็เก็บไว้กิน ลูกที่ดีๆ ก็เอาไปขาย
จ้าวซื่อพยักหน้า “อือ”
ข่าวดีนี้ทำให้ทั้งครอบครัวมีความสุขมาก จ้าวซื่อก็อารมณ์ดีมากเช่นกัน สวรรค์ช่างเมตตากับครอบครัวของนางจริงๆ
ซูซานหลางมองซูเสี่ยวลู่ที่เบิกตากว้าง แล้วถามว่า “วันนี้ซื่อเม่ยเป็นเด็กดีหรือไม่?”
จู่ๆ ซูเสี่ยวลู่ก็เบ้ปาก เห็นซูซานหลางก็น้อยเนื้อต่ำใจมาก “อู๊ๆๆ แอ๊ๆๆ...”
ส่งเสียงน้อยใจออกมาอยู่สองสามที แล้วมองไปที่จ้าวซื่ออีกครั้ง จากนั้นก็มองไปที่ซูซานหลาง
นางกำลังฟ้องอย่างไม่มีเสียงอยู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา