ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเก็บข้าวของและสั่งให้เตรียมรถม้าเดินทางไปวัดต้าหลี่
เมื่อเดินไปที่ประตูจวนมู่หรงฉีก็ยืนรออยู่ข้างถนนโดยจูงม้าสีแดงคู่ใจของเขา
เหลิ่งชิงฮวนเหลือบมองเขาเล็กน้อยโดยไม่ตอบสนอง ในขณะที่เธอยกกระโปรงขึ้นและกำลังจะเข้าไปในรถม้า
มู่หรงฉีกระแอมขึ้นเบาๆ “นี่!”
เหลิ่งชิงฮวนยังคงเมินเฉยเพราะความโกรธ มู่หรงฉีรีบหยิบม้วนผ้าไหมสีเหลืองออกมาจากอก เหล่มองเธอและพูดอย่างใจเย็นว่า “ในเมื่อเจ้าอยากไม่ดู ข้าจะโยนทิ้งก็แล้วกัน”
เหลิ่งชิงฮวนก้าวเข้าไปในรถม้าพลางหันหน้าไปมอง เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นเธอจึงก้มลงและเข้าไปในรถม้าอย่างไม่สงสัย
ทว่าโตวโตวที่อยู่ข้างหลังกลับคว้ากระโปรงของเธอไว้และพูดอย่างตะกุกตะกัก “คุณหนู เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่เจ้าชายกำลังถืออยู่นั้นเป็นข่าวดี”
เหลิ่งชิงฮวนตกตะลึงไปครู่หนึ่งและมองดูอย่างระมัดระวัง มู่หรงฉีเลิกคิ้วอย่างภาคภูมิใจ พลางเอาม้วนผ้าไหมสีเหลืองตีมือเป็นจังหวะ
“ข่าวดีเป็นสีเหลืองหรือสีแดง”
โตวโตวมองไปที่การแสดงออกของมู่หรงฉี นางเกือบจะเดาสิ่งนั้นได้และกระโดดอย่างมีความสุข “ประกาศรายชื่อ! คุณหนู โดยปกติแล้วจะเป็นกระดาษสีแดงห่อด้วยผ้าแพรสีเหลือง ด้านหลังมีภาพมังกรบิน ข้างล่างมีภาพภูเขาเมฆและทะเลหมอก น่าจะใช่นะเจ้าคะ”
เหลิ่งชิงฮวนชำเลืองมองไปที่ดวงอาทิตย์ ถึงเวลาประกาศอันดับแล้วงั้นเหรอ หรือว่าชายคนนี้ใช้เส้นสายเพื่อให้ได้มันมา
เธอกระโดดออกจากรถม้าไปหามู่หรงฉีเหมือนกระต่าย “ขอหม่อมฉันดูหน่อย!”
มู่หรงฉียกแขนขึ้นสูงพลางมองด้วยสายตาเหยียดหยาม “เจ้าอ่านหนังสือไม่ออก จะดูไปทำไม”
“หม่อมฉันรู้ชื่อพี่ชายก็พอ”
“เงินรางวัล”
“ไม่มี”
“ถ้าไม่มีก็อย่าคิดจะเอาไป”
เหลิ่งชิงฮวนยื่นแขนออกไปพลางกระโดดหยิบ ทว่าด้วยปัญหาส่วนสูงของเธอทำให้ไม่สามารถหยิบมันได้แม้จะกระโดดอยู่หลายครั้ง
เธอใจร้อนและเริ่มหงุดหงิดทันที จากนั้นจึงคล้องคอของมู่หรงฉีแล้วปีนขึ้นไปเหมือนลิง
มู่หรงฉีปล่อยให้ปีนป่ายในอ้อมแขนของเขา ไม่กล้าที่จะโยนเธอออกไป ก่อนจะกระแอมอย่างอึดอัด “อะแฮ่ม นี่มันบนถนนนะ จะมาโอบกอดเอาเช่นนี้ ทำลายขนบธรรมเนียม เหมาะสมแล้วหรือ”
เหลิ่งชิงฮวนไม่ใส่ใจ เมื่อมองภาพในตอนนี้เธอกำลังห้อยอยู่บนตัวของเขา
แม้แต่ทหารยามที่ประตูก็ยังเหล่ตาเพื่อดูด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะหันกลับไปและยืดหน้าอกขึ้นหันกลับไปมองอย่างจริงจัง
ดูเหมือนว่ามันจะอุจาดตาเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหูของมู่หรงฉีเป็นสีแดงก่ำเมื่อถูกลวนลาม
เธอลื่นลงจากร่างของมู่หรงฉีอย่างเชื่อฟัง เมื่อเธอลงไป เธอเหยียบรองเท้าบู๊ตของมู่หรงฉีและบิดมันไปมาหลายครั้ง
มู่หรงฉีอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงร้องและก้มลงมอง เหลิ่งชิงฮวนใช้โอกาสนี้คว้าข่าวดีจากมือของเขาและกระโดดออกไปเหมือนกระต่าย
เธอเปิดดูอย่างตื่นเต้น ชำเลืองมองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วถามโตวโตว “นี่มันลำดับที่เท่าไรหรือ ที่หนึ่ง ที่สองหรือที่สาม?”
โตวโตวยืดคอไปดู เมื่อนางได้ยินคำถามก็กลอกตาอย่างมีความสุข “หม่อมฉันไม่รู้หนังสือ คุณหนูจะถามหม่อมฉันทำไมเจ้าคะ”
มู่หรงฉีหยอกล้อ “ออกไปไหนมาไหนอย่าบอกว่าตัวเองเป็นลูกสาวของจวนมหาเสนาบดีเด็ดขาด พี่ใหญ่ได้รับเลือกและเข้าร่วมในการสอบที่พระราชวังในอีกไม่กี่วัน ยังต้องได้รับการสอบสัมภาษณ์จากเสด็จพ่ออีก จึงจะบอกได้ว่าที่หนึ่ง ที่สองหรือที่สาม”
เหลิ่งชิงฮวนหรี่ตาและยิ้มอย่างมีเลศนัย “เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ทำไมเสด็จพ่อถึงไม่รีบเลือกเรากันเอง ครอบครัวเราจะได้ดูแลกันและกัน”
มู่หรงฉีมองไปที่เธอด้วยความโกรธ ความสัมพันธ์เหนือราชสำนักนั้นเกี่ยวพันกัน หากเลือกเพราะเครือญาติ สู้ให้เสด็จพ่อเลือกจากสนมเจ็ดสิบสองคนจากสามตำหนักไม่ดีกว่าหรือ ผู้หญิงคนนี้ไร้เดียงสาจริงๆ
เหลิ่งชิงฮวนเอียงศีรษะอย่างไม่เข้าใจ “ไม่ถูกต้อง ทำไมท่านถึงเรียกพี่ชายของหม่อมฉันว่าพี่ใหญ่ ปกติท่านต้องเรียกชื่อตลอดไม่ใช่หรือ”
มู่หรงฉีจ้องมองเธอด้วยความโกรธอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่ไร้เดียงสา แต่ยังโง่เขลาอีกด้วย
เขาขึ้นหลังม้าโดยไม่สนใจเธอและพูดอย่างแข็งขัน “พี่ชายคนโตของภรรยาไม่ให้เรียกว่าพี่ใหญ่ แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
เหลิ่งชิงฮวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่เขาพูดดูเหมือนจะมีเหตุผลแต่มันก็น่าอึดอัดใจ
เมื่อเห็นว่าเขาขี่ม้าออกไปแล้ว เธอจึงรีบกอดข่าวดีไว้ในอ้อมแขนและเข้าไปในรถม้า
เจ้าหน้าที่วัดต้าหลี่รับคดีร้อนนี้ด้วยความกังวลจนนอนไม่หลับทั้งคืน
โจทก์คือจวนอ๋องฉีและจำเลยคือจวนมหาเสนาบดี แต่ปัญหาคือทั้งสองตระกูลไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามพร้อมที่จะต่อสู้ เหตุใดถึงไม่พิจารณาคดีด้วยตนเอง
นี่มันเรื่องในบ้านชัดๆ แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านเหตุใดจึงไม่จัดการเงียบๆ ทำไมต้องไปวุ่นวายถึงโรงถึงศาลเช่นนี้
เจ้าหน้าที่วัดต้าหลี่ผู้ซึ่งศึกษาเรื่องราวล่วงหน้ามาบ้าง ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปหาเซวียซานพี่ชายของเซวียอี๋เหนียงซึ่งเป็นพี่ชายของตน เพื่อไถ่ถามสถานการณ์ในจวนมหาเสนาบดี
เซวียซานได้รับจดหมายจากเซวียอี๋เหนียงล่วงหน้าแล้ว เขาอาจมีความคิดดีๆเกี่ยวกับคดีนี้ ดังนั้นเขาจึงส่งคำขวัญแปดตัวอักษรไปให้เขา “จงเป็นกลาง ยืนหยัดและเฝ้าดู”
เมื่อเห็นท่าทีที่ดี เจ้าหน้าที่วัดต้าหลี่รู้ว่าต้องมีหนทางจึงอยากจะเจาะลึกลงไป แต่เซวียซานอยากให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
“อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องในบ้านของจวนมหาเสนาบดี ท่านชายไม่อยากยื่นมือเข้าแทรกแซงจึงผลักไสมาให้ข้า เจ้าจงอดทนไว้ อย่าหาเรื่อง อย่าเข้าข้าง ท่านอ๋องอยู่ข้างใคร เจ้าก็เข้าข้างคนนั้น”
เจ้าหน้าที่วัดต้าหลี่เองก็ไม่มีความคิดอื่นใด ดังนั้นเขาจึงถามโจทก์และจำเลยด้วยใบหน้าขมขื่น
มีที่นั่งสองที่นั่งตั้งอยู่ในห้องโถง ที่นั่งหนึ่งเป็นของเสนาบดีเหลิ่งและอีกที่นั่งเป็นของมู่หรงฉี ส่วนจินซื่อและเหลิ่งชิงฮวนยืนอยู่ที่เดียวกับเหลิ่งชิงเฮ่อที่กำลังคุกเข่า
เจ้าหน้าที่วัดต้าหลี่นั่งอยู่ในห้องโถง รู้สึกราวกับว่าเขากำลังนั่งอยู่บนกระดานตะปูอย่างรู้สึกเจ็บบั้นท้าย
เขายกค้อนในมือขึ้นสูงแล้วลดระดับลงอย่างช้าๆ “เหลิ่งชิงเฮ่อ มีคนกล่าวหาว่าเจ้าวางยาเหลิ่งชิงหลางพรชายารอง นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เหลิ่งชิงเฮ่อคุกเข่าตรง ไม่ถ่อมตัวหรือเอาแต่ใจ “เรียนท่านใต้เท้า เมื่อสองสามวันก่อนข้าพเจ้านอนป่วยอยู่บนเตียง ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ อาหารและชีวิตประจำวันทั้งหมดได้รับการดูแลโดยคนรับใช้ของข้านามว่าหมิงเย่ว์ ข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องนี้”
“แต่ตอนนี้หมิงเย่ว์ถูกขายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน ไม่มีใครเป็นพยานให้เจ้าได้ เจ้ามีหลักฐานที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองหรือไม่”
เหลิ่งชิงเฮ่อมองไปที่เหลิ่งชิงฮวนพลางยิ้มอย่างมั่นใจและสงบ “มี”
“หลักฐานอะไร”
“พยานหมิงเย่ว์”
ทันทีที่พูดจบ จินซื่อก็ตกใจสีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที
เหลิ่งชิงฮวนยิ้มเล็กน้อย “เรียนท่านใต้เท้า บังเอิญว่าหมิงเย่ว์ทำบางอย่างผิดพลาดและถูกพากลับไปที่จวนเสนาบดี ทำให้ไม่มีใครดูแลพี่ชายของข้า ดังนั้นข้าจึงสั่งให้คนคอยจับตาดูและหาผู้รับใช้ที่เฉลียวฉลาด
สุดท้ายคนที่หามาให้กลับเป็นหมิงเย่ว์คนเดิม น่าเสียดายที่คอของเขาแหบแห้งเพราะพิษจากใครบางคน ข้าใช้ความพยายามอย่างมาก ทว่าไม่สามารถทำให้เขาพูดได้ ใต้เท้าโปรดอนุญาตให้สืบพยานต่อไปด้วยเถิด”
เจ้าหน้าที่วัดต้าหลี่เป็นชายชราคนหนึ่ง เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเหลิ่งชิงฮวน เขาก็เข้าใจความหมายของคำขวัญแปดตัวอักษรที่เซวียซานส่งให้เขาในทันที พระชายาเอกได้เตรียมตัวมาอย่างชัดเจน วันนี้เขาทำได้แค่ดูหน้าท่านอ๋องก็ตื่นเต้นมากแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา