ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 131

เหลิ่งชิงเฮ่อได้ย้ายจากสุสานกลับมาที่จวนมหาเสนาบดีแล้ว อีกไม่กี่วันหลังจากนี้เขาต้องเข้าร่วมการทดสอบชิงตำแหน่งขุนนาง เขาเข้าวังในยามฟ้าสางและส่งข้อสอบในเวลาพระอาทิตย์ตกดิน เขาได้รับคำสั่งมาแล้วและลูบมัน หนังสือที่ได้รับการลงตราจากขุนนางคนอื่น เพื่อนำไปดำเนินการต่อหน้าฮ่องเต้แล้วก็มาถึงวันประกาศผล

เหลิ่งชิงฮวนตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าเขา เธอจะนั่งหรือจะนอนอยู่ในห้องก็ทำได้ไม่อย่างไม่สงบใจ เพื่อที่จะให้ได้รู้ข่าวได้ก่อนใครเธอจึงรีบกลับไปที่จวนมหาเสนาบดีแต่เช้าตรู่

จินซื่อได้รับโทษแล้ว จวนมหาเสนาบดีก็เละเทะไปหมด ผู้คนทั่วทั้งจวนถูกจับได้ นอกจากเซวียซื่อที่รู้อยู่เต็มอก ไม่ว่าใครต่างก็ไม่รู้มาก่อนว่าจะเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นกับจินซื่ออย่างกะทันหัน

ในใจของมหาเสนาบดีเหลิ่งรับไม่ได้กับเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง เขาไม่มีใจที่จะสนใจเรื่องภายในจวน เรื่องทั้งหมดเขาเซวียอี๋เหนียงเป็นคนจัดการจึงต้องเป็นคนจัดการไปอย่างช่วยไม่ได้

เซวียอี๋เหนียงเป็นคนฉลาด นางผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เธอนั้นไม่มีลูกเป็นของตัวเอง เมื่อเห็นว่าเหลิ่งชิงเฮ่อนั้นประสบความสำเร็จและต้องกลายเป็นผู้นำของจวนมหาเสนบาดีอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าเรื่องที่เธอนั้นจะได้ขึ้นเป็นเอกนั้นก็ไม่ใชเรื่องที่ต้องรีบร้อน ชีวิตของเหลิ่งชิงเฮ่อต้องเป็นไปได้ดีแน่ เธอต้องเข้าหาเขา ครอบครัวทางแม่ของเหลิ่งชิงเหยาถึงจะเป็นที่พึ่งพาได้ และเป็นหลักประกันชีวิตในวัยชราของเธอ

ดังนั้นหลังจากที่เหลิ่งชิงเฮ่อกลับมาที่จวนแล้ว สิ่งที่เขาใช้กินหรือสวมใส่นั้นก็ต้องต่างจากเดิมราวฟ้ากับเหว บ่าวรับใช้ภายในจวนเองก็ทำตัวลู่ไปตามลมเหมือนกัน นายหญิงชองจวนนี้นั้นได้ถูกโยนออกจากจวนนี้ไปนานแล้ว

เหลิ่งชิงฮวนกวาดสายตาไปในบ้านของเหลิ่งชิงเฮ่ออยู่แวบหนึ่งเธอก็เบาใจลง

เหลิ่งชิงเฮ่ออออกไปนอกบ้านตามคำแนะนำของน้องสาวและตรงเข้าสู่พระราชวัง ชิงเฟิงเป็นคนจูงม้าเป็นลำดับถัดมา เมื่อได้มีรายชื่อเขาก็รีบกลับไปแจ้งข่าวดี

มือของเหลิ่งชิงฮวนเต็มไปด้วยผลไม้และขบเคี้ยวมากมาย บ่าวรับใช้ต่างพากันมองไปที่ใบหน้าของเธออย่างระแวดระวังและมีมารยาท

จวนมหาเสนาบดีขาดจินซื่อไปแค่คนเดียวก็ไม่เหมือนกับจวนมหาเสนาบดีในอดีตอีกแล้ว

รออยู่นะ รออยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว ต้นไม้ใบหญ้าต่างร้องระงมอย่างเป็นกังวลใจแต่ก็ยังไม่ได้ข่าว บางครั้งได้ยินเสียงอึกทึกมาจากนอกจวนเธอก็จะกระโดดตัวผึง และยืดคอออกไปมองด้านนอก

เหลิ่งชิงเหยาเดินมาจากด้านหลังของจวน เมื่อเห็นว่าร่างกายที่กำลังตั้งครรภ์ของเธอก็รีบตะโกนเรียกพี่ใหญ่อย่างร้อนรน

เปลือกตาของเหลิ่งชิงฮวนกระตุก “ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน ทำไมน้องสามถึงได้ดูว่าง่ายขึ้นขนาดนี้ละ พูดจาเชื่อฟังดีจริงๆ”

เหลิ่งชิงเหยาพ่นเสียง “หึ” ออกมาอู้อี้ แต่ยังพูดด้วยความมั่นใจว่า “ข้ารู้ค่ะว่าท่านพี่เก่งมาก และก็รู้ตัวเองดีว่าข้านั้นไม่ใช่คู่แข่งของท่าน ดังนั้นที่เรียกว่าพี่ใหญ่นี้ข้ายินดีเรียกมันอย่างเต็มใจ ถ้าหากว่าท่านไม่อยากจะฟัง ครั้งหน้าข้าไม่เรียกแล้วก็ได้”

เหลิ่งชิงฮวนหัวเราะ “คิกคัก” ออกมา “เจ้าเอาแต่มองว่าคนอื่นนั่นเป็นคู่ปรับของตัวเอง เหนื่อยไหม”

“ข้าไม่เคยเห็นว่าเจ้าเป็นคู่ปรับอะไรนั่นเลยนะ”

“ต่อให้เจ้าพูดความจริง ข้าเคยดูถูกและเหยียดหยามเจ้า แต่ตอนนี้เซวียอี๋เหนียงไม่อนุญาตแล้ว” “เหลิ่งชิงฮวนพูดทิ่มแทงเธอ”

“งั้นข้าก็จะพูดคำพูดที่นิ่มนวนกับเจ้า ไม่ใช่ว่ายอมถอยให้นะ แต่เป็นเพราะข้ายินดีที่จะแพ้ ในเมื่อเจ้าเก่งแบบนี้ตอนที่อยู่ในจวนมหาเสนาบดีนั้นเจ้าซ่อนเอาไว้มันยากมิดชิดเชียว และปิดหูปิดตาผู้คนทั้งจวน อีกทั้งยังอดทนต่อนังเหลิ่งชิงหลางนั่นมาตั้งนาน ข้าเทียบเจ้าไม่ได้เลย นับถือทั้งกายและใจ”

เหลิ่งชิงฮวนยกยิ้มมุมปากเล็กๆ เหลิ่งชิงเหยานั้นเย่อหยิ่งในตัวเองมาโดยตลอด การที่สามารถทำให้เธอพูดจาอ่อนข้อให้ได้นั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ

“พูดมาสิ มีเรื่องอะไร”

เหลิ่งชิงเหยาก้าวเข้ามาข้างหน้าสองเก้า “ข้าอยากจะไปอยู่ที่จวนอ๋องฉีสักสองสามวัน”

เหลิ่งชิงฮวนไม่ได้มองเธอเลยสักนิด “เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ”

“ข้าสาบานว่าข้าจะไม่คิดอะไรเป็นอื่นกับท่านอ๋องฉีอีกแล้ว” เหลิ่งชิงเหยาพูดออกมาอย่างเด็ดขาด

“ไม่คิดอะไรเป็นอื่น งั้นเจ้าไปที่จวนอ๋องทำไม”

“หลักๆก็ต้องย่อมอยากไปซ้ำเติมสุนัขขี้แพ้น่ะสิ ถ้าข้าไม่ได้เห็นเหลิ่งชิงหลางทนทุกข์ทรมานกับตา ข้าจะยอมได้อย่างไร”

เหลิ่งชิงหลาง โยนขนมชิ้นหนึ่งบนโต๊ะเข้าไปในปาก “การค้าก็ขอเตือนเจ้าว่าให้ลบความคิดนี้ออกไปให้เร็วที่สุด ท่านอ๋องฉีนั้นเห็นเหลิ่งชิงหลางเป็นดุจดั่งแก้วตา คงทนเห็นเธอลำบากไม่ได้ ถ้าหากเจ้าไปทำให้นางรำคาญล่ะก็ ก็คงจะทำอะไรนางไม่ได้ เจ้าพูดจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้ามาเถอะ”

“วันๆข้าอยู่แต่ที่ในจวนมหาเสนาบดีนี่จนเบื่อจะตายอยู่แล้ว อี๋เหนียงเองก็ไม่พาข้าออกไปข้างนอกบ้าง แม้แต่เพื่อนที่สนิทกันข้าก็ไม่มี หลังจากนี้ถ้าหากว่าพี่ใหญ่มีงานเลี้ยงอะไรช่วยพาข้าไปเปิดหูเปิดตาหน่อยได้ไหม”

เหลิ่งชิงฮวนกระพริบตาปริบ “งานเลี้ยงนั้นไม่มีอะไรไปมากกว่าการแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของฐานะแต่ละบ้าน และแสดงให้เห็นถึงอำนาจของพวกเขา เจ้าไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้นั้นน่าเบื่อมาโดยตลอดหรือ ทำไมจู่ๆถึงได้กลับใจล่ะ”

บนใบหน้าของเหลิ่งชิงเหยามีความอายแล่นขึ้นมา เธอลนลานขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด

เซวียอี๋เหนียงถือชาลูกพลัมเข้ามากาหนึ่ง และวางเอาไว้ข้างมือของเหลิ่งชิงฮวน เธอหันไปตำหนิเหลิ่งชิงเหยาว่า “พี่ใหญ่ของเจ้ากำลังพักผ่อนอยู่ เจ้ามากวนนางอีกแล้วนะ”

“ถ้าแค่มาคุยเล่นเป็นเพื่อนท่านพี่แค่สองสามประโยค อยากจะสนิทกับนางเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”

“มันมันก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว เจ้าควรที่จะขอบคุณท่านพี่เจ้าให้ดีๆ ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะนางเกรงว่าตอนนี้เจ้าคงร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรไปแล้ว”

เหลิ่งชิงฮวนเลิกคิ้ว “มีเรื่องอะไรงั้นหรอ”

“คุณหนูใหญ่คงไม่ทราบ จินซื่อร้ายกาจมาก ก่อนหน้านี้นางคิดที่จะให้ชิงเหยาแต่งกับลูกชายคนที่สามของตระกูลจิน”

“ลูกชายคนที่สามของตระกูลจิน? ได้ยินมาว่าเขามีงานมีการทำแล้วนี่และเป็นไปได้สวยด้วย ที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่เหมือนกับลูกชายคนที่สองที่ไม่ชอบเรียนหนังสือและไม่ชอบเรียนรู้อะไร อีกทั้งยังชอบเที่ยวผู้หญิง ในหมู่คนหนุ่มสาวแล้วขานับว่าเป็นคนที่ไม่เลวทีเดียว”

“แต่ว่าเขาได้มีการคุยเรื่องการแต่งงานกับหลายตระกูลแล้ว สุดท้ายก็ไม่สำเร็จเลย ในทั้งหมดนี้นั้นต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้พูดออกมาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจินซื่อจะใจดีแบบนี้หรือ? อีกอย่างถ้าหากว่าชิงเหยาแต่งเข้าไปในตระกูลจินแล้ว อยู่ดีหรือ ตระกูลจินนั้นไม่ได้ทั้งดีและทั้งร้ายกับนาง ก็ไม่ใช่เป็นเพราะคำพูดเพียงประโยคเดียวของจินซื่อหรือ”

เหลิ่งชิงฮวนครุ่นคิดได้ว่าเรื่องนั้นเป็นอย่างนี้จริง มิน่าล่ะเรื่องของจินซื่อนั้นเซวียอี๋เหนียงถึงได้รีบส่งม้าไปตั้งแต่ฟ้าสางเพื่อสอบถามกับนักพรตกำมะลอนั่น ทำไปอย่างไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ ครั้งนี้ถือว่าทำลงไปแล้วไม่เสียเที่ยว

“พอพูดถึงจินซื่อ ชิงเจียวล่ะ? ข้ามาตั้งนานแล้วทำไมถึงยังไม่เห็นเขา”

เซวียอี๋เหนียงเข้ามาใก้เธอแล้วพูดเสียงเบาว่า “พูดถึงเด็กคนนี้แล้ว ข้าอยากจะถามคุณหนูใหญ่จริงๆว่าจะทำอย่างไรไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ ใช้อำนาจบาตรใหญ่จนเคยตัว

ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับจิ่นซื่อแล้ว สายตาที่เขามองมาที่พวกเรานั้นก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ดูราวกับลูกหมาป่าตัวน้อย เกลียดพวกเราเสียจนแต่เอาคบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อคืนนี้ ก็แอบออกไปวิ่งเล่นที่เรือนของคุณชายใหญ่

ข้าคิดว่าเขาคงถูกสั่งสอนจากตระกูลจิน และคิดว่าคุณชายใหญ่ทำร้ายแม่ของเขา ดังนั้นเข้าถึงได้พยายามทำตัวร้ายกาจออกมา เมื่อพอลองคิดต่อไปแล้วเกรงว่าจะมีปัญหาในอนาคต”

เหลิ่งชิงฮวนรู้ดีว่าเซวียอี๋เหนียงกำลังกลัวอะไร แม้ว่าการที่จินซื่อถูกเนรเทศจะมองว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ถ้าหากเขาถูกยั่วยุในสายตาของเหลิ่งชิงเจียวแล้ว ย่อมเป็นตัวของเธอที่ทำร้ายแม่ของเขา เด็กที่เติบโตมาพร้อมกับความแค้นแบบนี้ เขาจะต้องโตมามีนิสัยที่รุนแรงและกราดเกรี้ยวแน่ รอให้เขาโตแล้วเธอย่อมต้องเป็นศัตรูของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ว่าเธอจะทำอะไรกับเด็กคนนั้นได้หรือ ตามสายเลือดแล้วเขาก็คือน้องชายของเธอ ตามหลักแล้วเขาเป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่ไม่ประสีประสาเท่านั้น เธอไม่สามารถทำร้ายคนที่อ่อนแอและลงมือกับเด็กน้อยคนหนึ่งได้

เธอครุ่นคิดอยู่นาน “เด็กคนนี้ถูกจินซื่อเลี้ยงมาจนบิดเบี้ยวไปบ้าง อาจารย์ที่อยู่ในจวนก็ไม่กล้าแม้แต่ที่จะสั่งสอนอย่างเข้มงวด ตอนนี้ตระกูลจินกับเหลิ่งชิงหลาง กำลังยั่วยุเขาอยู่ เด็กคนนี้เป็นปัญหาจริงๆ”

เอาแบบนี้แล้วกัน ข้า จะปรึกษากับท่านพ่อแล้วก็พี่ชาย ให้เขาเปลี่ยนมาได้เรียนกับอาจารย์ที่เข้มงวดมากขึ้นและหาสหายเป็นเพื่อนเรียนให้กับเขา เพื่อให้เค้าได้มีเพื่อนและอาจารย์ที่ดี อบรมสั่งสอนเขาให้ได้ดี เพื่อให้ความคิดและนิสัยของเขาค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อย หวังว่าหลังจากนี้เขาจะแยกแยะได้ออกว่าสิ่งผิดหรือสิ่งไหนถูก และหวังว่าเซวียอี๋เหนียงจะช่วยข้าสักเรื่องในการดูแลจวนและเรื่องอื่นๆ

เหลิ่งชิงเหยาเม้มปาก “ระวังเถอะว่าเจ้าจะเลี้ยงงูเห่าไว้ข้างตัว เขาจะต้องลืมบุญคุณของเจ้าแน่”

เซวียอี๋เหนียงเลิกคิ้วและตำหนิขึ้นว่า “หุบปาก!”

คนที่อยู่ด้านนอกจู่ๆก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกันทันที เสียงขู่คนที่มีความสุขนั้นดังขึ้น มีบางคนที่ดีใจจนร้องขึ้นจนเสียงสูงว่า “ได้แล้ว ได้แล้ว!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา