ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 517

ทุกคนมองดูท่าทางนี้แล้ว ก็เหมือนตั้งของเซ่นไหว้จริงอยู่ เดินขึ้นไปเก็บกวาดอย่างไม่รีบร้อย วางกลับเข้าไปในภาชนะอาหาร หิ้วออกไป

ท่านฉีอ๋องผู้น่าสงสาร ดมกลิ่นอาหารอยู่ครึ่งค่อนวัน ไม่ได้ชิมเลยสักคำ กลับปล่อยให้ท้องหิวไส้กิ่ว ตรอมใจอย่างหนัก

ฮ่องเต้เพิ่งจะเสด็จออกไป เสนาบดีเหลิ่งโผล่ออกมาหลีกหนีผู้คนด้วยท่าทางลับๆล่อๆ

เสนาบดีเหลิ่งเป็นห่วงลูกเขย ตอนที่เดินผ่านหน้าเขา เหลือบเห็นริมฝีปากที่แห้งของเขา อีกทั้งใบหน้าที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง หยิบซาลาเปาเนื้อสองก้อนที่ซ่อนไว้ข้างในแขนเสื้อออกมา

แม้ว่าองค์ฮ่องเต้จะเป็นคนขี้เหนียว แต่ใจกว้างต่อพวกขุนนางเบื้องล่าง ช่วงเช้าตรู่ในวังหลวงมีแผงลอยอาหารเช้าโดยเฉพาะ หลังจากที่พวกขุนนางผู้ใหญ่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่าราชการเสร็จ หรือบางทีทำงานล่วงเวลาชั่วคราว ไม่สามารถกลับไปรับประทานอาหารที่จวนได้ ก็จะทานของว่าง กินโจ๊กจากในวังหลวงรองท้องไปก่อน

เสนาบดีเหลิ่งชิมซาลาเปาเนื้อที่หอมกรุ่น ก็เลยใช้กระดาษมันห่อเอาไว้ สอดเข้าไปในแขนเสื้อ จงใจที่จะหาข้ออ้างเดินรั้งท้ายสุด พอดีเห็นภาพตอนที่ฮ่องเต้กำลังหลอกล่อลูกชาย

เพียงแต่ว่า ประตูอู่กว้างใหญ่ เขาหลบอยู่ไกลๆ จึงไม่ได้ยินท่านทั้งสองคุยกัน

มู่หรงฉีมองซาลาเปาเนื้อสองก้อนที่ขาวอ้วน ร้อนๆ มันแผล็บ นั่นคือการช่วยเหลือยามที่เขาลำบาก ภายในใจนั้นก็ยังคงประทับใจอยู่

ตลอดเวลาที่ผ่านมา สำหรับเสนาบดีเหลิ่งแล้วเขาก็ไม่ได้มีท่าทีอ่อนโยนอะไร ตอนที่แสดงท่าทางสนิทสนมต่อหน้าเหลิ่งชิงเฮ่อ สำหรับเสนาบดีเหลิ่งแล้ว ขี้เก็กห่างเหินไม่แยแส ไม่เคยเรียก “พ่อตา”เลยสักครั้ง

พอวันนี้เห็นแบบนี้แล้ว เหมือนพ่อมากกว่าพ่อแท้ๆของตัวเองซะอีก

เขาพูดอย่างเกรงใจ “ขอบคุณ”

เสนาบดีเหลิ่งยกขาขึ้นแล้วปีนขึ้นไปบนหินที่อยู่ใต้เสาธง ถือซาลาเปาส่งให้มู่หรงฉีด้วยตัวเอง อีกทั้งยังกำชับทหารอารักขาที่อยู่ด้านขาให้ยกเอาชามาเสิร์ฟ

ทหารอารักขาเองตามีแวว คนที่ถูกมัดอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่นใด นั่นเป็นลูกชายแท้ๆของฮ่องเต้ เห็นฮ่องเต้ก็เสด็จมาเยี่ยมเขาด้วยตัวเองแล้ว ก็น่าจะเป็นการวางมาดใหญ่โตเพื่อตบตา พ่อลูกคู่นี้ทะเลาะกัน เมื่อหันกลับไปแก้มัดเชือกแล้ว เขาก็ยังคงเป็นท่านอ๋องที่สง่าผ่าเผย

เพราะฉะนั้นจึงรีบยกน้ำเข้ามาให้

มู่หรงฉีก็ไม่เกรงใจ ดื่มสองอึกก็หมดแล้ว

ซาลาเปาไส้เนื้อสองก้อนนี้สำหรับเสนาบดีเหลิ่งที่เป็นฝ่ายพลเรือนไม่ต้องใช้กำลังแบกหาม ก็แทบที่จะไม่พอรองท้องเลย แต่เขาผู้บัญชาการทหารที่ร่างกายกำยำ ก็มากพอที่จะอุดซอกฟันเขาได้ แต่ว่าไม่ว่ายังไงก็แก้ไขเรื่องความอยากอาหารได้แล้ว ก็ต้องดื่มน้ำให้อิ่ม

เสนาบดีเหลิ่งจึงเอ่ยถาม “ชิงฮวนนางยังสบายดีใช่ไหม?”

มู่หรงฉีพยักหน้า “สบายดี”

“ชิงฮวน เจ้าเด็กคนนี้ทำไมไม่ได้เรื่องอย่างนี้นะ ไม่คิดเลยว่าจะไม่ตามเจ้ากลับมาเมืองหลวงด้วย? หรือว่านางยังไม่เลิกเป็นห่วงลูก?”

มู่หรงฉีเพิ่งจะมีโอกาสที่จะบอกเหตุผลที่แท้จริง

เสนาบดีเหลิ่งปล่อยวางได้อย่างสมบูรณ์

เหลิ่งชิงฮวนยังมีชีวิตอยู่จริงๆด้วย เจ้าหลานตัวน้อยที่จู่ๆก็คลอดก็เป็นเรื่องจริง บุญพาวาสนาส่ง มู่หรงฉีต้องดวงดีขึ้นแล้ว

เขาก็เป็นเพียงแค่คนเจ้าเล่ห์ มีใจรวมหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างน่าประหลาดใจ อยู่ดีๆ ลูกทั้งสองก็มีคุณงานความดี เสิ่นหลินเฟิงเองก็ไม่ได้โดนต่อว่า แล้วต่อว่ามู่หรงฉีทำไมนะ?

“ทำไมฮ่องเต้ต้องกล่าวโทษท่านด้วย? เมื่อกี้พระองค์พูดอะไรกับท่าน?” เขาลองเอ่ยถาม

แน่นอนว่ามู่หรงฉีไม่สามารถที่จะขายพ่อของตัวเองได้ จึงบอกเสนาบดีเหลิ่ง เมื่อครู่ฮ่องเต้มาจัดการกับเขาเรื่องเหลิ่งชิงฮวน แม้ว่าตัวเองนั้นจะไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมที่จะจำนน แต่ก็ไม่สามารถพูดจาให้ร้ายพ่อของตัวเองลับหลังได้

“ไม่มีอะไร เสด็จพ่อแค่ตำหนิที่ข้าไม่ได้พาตัวชิงฮวนกลับมา ไม่พอใจที่ข้าไร้ประโยชน์”

เสนาบดีเหลิ่งครุ่นคิดความคิดของฮ่องเต้ รู้สึกว่ามันไม่ใช่ ลูกชายเป็นลูกแท้ๆ ส่วนลูกสะใภ้ก็อยู่ห่างไปก้าวหนึ่ง เขาไม่ถึงกับต้องร้อนใจ โมโหอารมณ์ใส่ลูกชายขนาดนี้ อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่การทำอะไรลับหลัง ถึงขนาดที่วางแผนมาที่นี่คนเดียว?

เจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้พูดความจริง

หรือว่า ทำในสิ่งที่ต่างจากที่เห็นงั้นเหรอ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา