ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 599

จากคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์ ในเวลานั้น ท้องฟ้ามืดแล้ว บรรยากาศก็อึมครึมดูน่ากลัว มีกลุ่มคนในชุดขาวขับรถม้าราวยี่สิบถึงสามสิบคันแล่นผ่านไปตามถนนหลวง บนรถม้าแต่ละคันต่างก็มีโลงศพบรรทุกอยู่

ภาพเหตุการณ์นี้ไม่ต่างกับขบวนแห่ศพที่ชวนให้ขนลุก เพียงแต่ นี่เป็นการแห่ศพของตระกูลไหนกันถึงได้แห่กันทีเดียวถึงหลายสิบชีวิตเช่นนี้?

ผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างก็ตกใจจนตัวสั่นและไม่กล้าส่งเสียงดังออกมา ทำได้เพียงหมอบลงกับพื้นจนกระทั่งขบวนแห่ลับหายไป

แม้ว่าพวกชาวบ้านจะมีความเคารพยำเกรงต่อเรื่องผีสางเทวดา แต่เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ลือสะพัดได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้น เรื่องนี้จึงแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง

ผู้คนต่างรู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้าออกไปไหนตอนกลางคืน หรือต่อให้มีคนจะออกนอกเมืองในตอนกลางคืน คนเฝ้าประตูก็จะเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีว่า “ระวังเจอขบวนแห่ยมทูต”

โบราณว่าไว้ หากมีเรื่องที่ผิดแปลกไปจากปกติ จะต้องมีเรื่องไม่ดีอยู่แน่นอน มู่หรงฉีรู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โลงศพสามสิบโลงบนรถม้าขบวนแห่ยมทูตนั้น ยิ่งน่าสนใจ

เขาได้นำทหารไปตรวจสอบที่เกิดเหตุและได้ไต่ถามผู้ที่เห็นเหตุการณ์โดยละเอียดแล้ว ถึงลักษณะของรถม้าและกลุ่มคนเหล่านั้นว่ามีที่ใดที่ผิดปกติบ้าง

น่าเสียดาย ผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์ต่างหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ในสมองเหลือแค่ความว่างเปล่า ล้วนแล้วแต่นั่งหมอบตัวสั่นอยู่กับพื้น ใครเล่าจะกล้าแหงนหน้าขึ้นมอง

ยิ่งสอบถามก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ เขาจึงรีบสั่งการให้คนมาแจ้งเหลิ่งชิงฮวนทันที

เมื่อเหลิ่งชิงฮวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เข้าใจความคิดของมู่หรงฉี มู่หรงฉีสงสัยว่าคนกลุ่มนั้นอาจเป็นกลุ่มโจรที่ปล้นบ้านตระกูลโฉว แล้วใช้ข่าวลือเรื่องขบวนแห่ยมทูตทำให้ผู้คนหวาดกลัว เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาและการรับรู้ของผู้คน

ด้วยวิธีนี้ คนกลุ่มนั้นสามารถเดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน อีกทั้งยังสามารถขนถ่ายเงินทองได้อย่างราบรื่นโดยปราศจากการรบกวน

เหลิ่งชิงฮวนขมวดคิ้วแน่น พลางจ้องมองจดหมายของมู่หรงฉีอยู่นาน ทันใดนั้น ก็ยกยิ้มที่มุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วสั่งการทันที “เปลี่ยนเส้นทาง พวกเราจะไปรวมตัวกับท่านอ๋องฉี”

ถนนหลวงสายนี้ถูกลือว่าเป็นทางผ่านของขบวนแห่ยมทูตมานานแล้ว เพราะนอกจากเส้นทางจะเปลี่ยวและคดเคี้ยวแล้ว ยังต้องผ่านป่ารกชัฏ มีโจรผู้ร้ายชุกชุม ดังนั้น พ่อค้าต่างถิ่นจึงหลีกเลี่ยงการใช้ถนนสายนี้ ส่วนใหญ่ผู้สัญจรไปมาเป็นคนในท้องถิ่น

ช่วงระยะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน เรื่องขบวนแห่ยมทูตยิ่งทำให้ถนนสายนี้เงียบเหงามากขึ้นไปอีก ดวงตะวันยังไม่ทันจะตกดิน ก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว ป่าเขาที่เงียบสงัด ยิ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัว

จางซาน นายพรานท้องถิ่นกำลังเดินอยู่บนถนนที่เงียบสงบตามลำพังโดยไม่สนใจความกลัว เนื่องจากภรรยาของเขากำลังจะคลอด แต่ได้ยินมาว่าตำแหน่งของทารกในครรภ์ไม่เหมาะสม เขาจึงต้องรีบไปหมู่บ้านตรงข้ามเพื่อเชิญหมอตำแยมา

เขาเดินอย่างรีบเร่ง เหงื่อท่วมไปทั้งตัว จนด้านในของเสื้อนวมฝ้ายแนบติดอยู่กับหลังของเขา

แล้วจู่ๆ นกในป่าสองข้างทางก็ ‘กระพือปีก’ บินตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า

นกกระพือปีกบินด้วยความตกใจในยามค่ำคืนแบบนี้ คงจะมีเรื่องไม่ดีแน่

ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องขบวนแห่ยมทูตที่ลือกันมาระยะหนึ่งแล้ว หัวใจของเขาสั่นสะท้านไปชั่วขณะ

เราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง?

ในมือของเขาอุ้มไก่แจ้ตัวผู้ไว้ตัวหนึ่ง เขานำมาด้วยเพื่อเป็นของขวัญให้หมอตำแยสำหรับการพบกันครั้งแรก ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมออกมาด้วยกลางดึก

เมื่อเห็นไก่ตัวนี้ เขาก็มีความกล้าหาญมากขึ้น

ได้ยินมาว่าสิ่งที่ขบวนแห่ยมทูตกลัวที่สุดก็คือไก่ตัวผู้

โบราณว่าไว้ ‘ยมทูตเคลื่อนทัพยามสาม กองทัพเคลื่อนทัพยามสี่’ ช่วงเปลี่ยนถ่ายของยามสามและยามสี พลังหยินจะแข็งแกร่งที่สุด

มีความเชื่อว่าไก่ตัวผู้สามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายได้ หากพบสิ่งชั่วร้าย ก็ให้ใช้ผ้าคลุมหัวไก่ไม่ให้เห็นแสง แล้วบิดหัวไก่ อย่าเลือดออก ห้ามให้ไก่ขัน เวลานี้ ไก่จะยังไม่ตายโดยสมบูรณ์ แต่คอที่หักจะทำให้ไก่ได้แต่ส่งเสียงร้องอู้อี้ออกมา ซึ่งเรียกว่า เสียงร้องเตือนของไก่

สิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นก็จะรู้สึกว่ายามสามได้ผ่านพ้นไปแล้ว ยามสี่กำลังจะมาถึง แล้วก็จะหลบหลีกไปโดยอัตโนมัติ ตนเองจะอยู่รอดปลอดภัย

ฝั่งตรงข้าม ได้มีเสียงกระดิ่งดังลอยมาช้าๆ ‘กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา