เซียวเยวี่ยรู้ดีว่านางเป็นใคร หรือถ้าพูดให้ถูกคือ มีคนน้อยมากในบรรดาผู้ฝึกตนชั้นนำจากสิบสำนักใหญ่ ที่จะไม่รู้จักสาวงามเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ตรงหน้า
“ผู้อาวุโสลำดับสาม… ของสำนักความลับแห่งสวรรค์!” ดวงตาของชายหนุ่มหรี่แคบ ขณะมองภาพหนี่หยันยัดอาหารเข้าปาก เขาสูดลมหายใจเข้าลึก
หากไม่พูดถึงขั้นปราณของสตรีตรงหน้า สถานะของนางที่เป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักความลับแห่งสวรรค์ ก็เพียงพอที่จะทำให้เซียวเยวี่ยสนใจได้ แม้สำนักความลับแห่งสวรรค์จะถือเป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่ แต่ระดับความแข็งแกร่งนั้นจัดว่านำหน้าสำนักอื่นไปมากโข
สำนักความลับแห่งสวรรค์เน้นศึกษาด้านโหราศาสตร์และการพยากรณ์ สมาชิกทุกคนของสำนักจัดว่าลึกลับเป็นอันมาก ทุกคนที่ท่องอยู่ในโลกกว้างมีขั้นปราณอย่างน้อยระดับห้าขั้นราชันยุทธการ ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถในการยุทธ์ยังจัดว่ายอดเยี่ยม ทั้งยังแข็งแกร่งในด้านการสร้างวงแหวนปราณเพื่อกำจัดคู่ต่อสู้ จัดเป็นกลุ่มคนที่ทุกสำนักที่เหลือยำเกรงเป็นอันมาก
ประวัติศาสตร์ของสำนักความลับแห่งสวรรค์มีมายาวนาน พวกเขาแทบไม่มายุ่งกับเรื่องทางโลก และยังไม่ยุ่งเรื่องอำนาจของราชอาณาจักรแม้แต่น้อย แม้จักรพรรดิฉางเฟิ่งเคยประกาศกร้าวว่าตนจะทำลายสิบสำนักใหญ่ให้สิ้นซาก แต่กลับไม่เคยพูดว่าจะทำลายสำนักความลับแห่งสวรรค์เลยแม้แต่ครั้งเดียว
สำนักนี้เปรียบเสมือนหัวข้อต้องห้าม ที่ทุกคนล้วนรู้สึกยำเกรงขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะผู้อาวุโสลำดับสามของสำนักความลับแห่งสวรรค์ พลังปราณของหนี่หยันจึงอยู่ที่ระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ นางไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่านักรบอันดับหนึ่งของอาณาจักรวายุแผ่วอย่างเซียวเหมิงเลยแม้แต่น้อย
“คนผู้นี้… มาทำอะไรที่นครหลวงในช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้กันนะ” เซียวเยวี่ยคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ตามปกติแล้ว วิถีของสำนักความลับแห่งสวรรค์คือจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกและเรื่องราชอาณาจักรอย่างแน่นอน…
“เจ้ามองอะไร! ไม่เคยเห็นคนสวยรึ!” ลู่เซียวเซียวพูดด้วยความไม่พอใจ นางถลึงตามองเซียวเยวี่ยตาเขียว
เด็กหญิงรู้ดีว่าอาจารย์สุดตะกละของตนนั้นสวยมาก แต่ไอ้หนุ่มหน้าตาพอไปวัดไปวานี้กลับจ้องนางอย่างน่าเกลียดเกินพอดี ช่างน่าไม่อายเสียนี่กระไร!
ถังอิ่นเองก็หันไปมองเซียวเยวี่ยด้วยเช่นกัน เขามุ่นคิ้ว ระมัดระวังตัวขึ้นมาทันที
ผู้ฝึกตนที่มีปราณแข็งแกร่งนั้นสามารถสื่อถึงกันได้ ขั้นปราณของเซียวเยวี่ยอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นจักรพรรดิยุทธการ ส่วนถังอิ่นเองก็มีปราณอยู่ในระดับเดียวกัน ความสามารถด้านการยุทธ์ของทั้งคู่จัดได้ว่าสูสี ทั้งสองจึงสามารถจับสัญญาณอันตรายจากกันและกันได้
“หือ เกิดอะไรขึ้นรึ” จีเฉิงเสวี่ยมองด้วยสายตางุนงง รู้สึกได้ถึงรังสีอันตรายที่แผ่ออกมาจากกายเซียวเยวี่ย ด้วยเหตุนี้องค์ชายสามจึงหันไปมองหนี่หยันและศิษย์ทั้งสองของนาง
“สามคนนี้… ไม่ธรรมดา” เซียวเยวี่ยพูดเสียงสงบนิ่ง พลังที่ไหลออกจากกายสลายหายไปแล้ว ชายหนุ่มไม่กล้าก่อเรื่องในร้านของปู้ฟาง เขายังจำได้ดีว่าร้านนี้น่ากลัวเพียงใด ทั้งหุ่นเชิดตัวนั้น และไอ้สิ่งที่นอนหลับอยู่ที่ปากทางเข้าร้าน เจ้า… อสูรเวทในตำนานนั่น
ถังอิ่นเองก็สลายกระแสพลังของตนแล้วหันไปมองทางอื่นเช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำความเข้าใจกันได้อย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก
ปู้ฟางเดินออกจากครัวมาพอดีพร้อมเหยือกสุราหัวใจหยกเยือกแข็งสองเหยือกในมือ
น่าแปลกที่หนี่หยันผู้เป็นนักกินตัวจริงไม่ได้สั่งสุราหัวใจหยกเยือกแข็งมาแกล้มด้วย
“นี่สุราที่สั่ง ดื่มให้อร่อย” ปู้ฟางพูดพร้อมวางเหยือกสุราลงบนโต๊ะ
เซียวเยวี่ยและจีเฉิงเสวี่ยดูใกล้ทนไม่ไหวอยู่รอมร่อ ทั้งสองรีบคว้าเหยือกเอาไว้แล้วเปิดผ้าทันที
กลิ่นสุราหอมลอยล่องไปในอากาศ เพียงแค่ดมเซียวเยวี่ยและจีเฉิงเสวี่ยก็รู้สึกดื่มด่ำมึนเมากับกลิ่นสุรา จนควบคุมตนเองแทบไม่ได้
กลิ่นสุรานี้… หนี่หยันและศิษย์ทั้งสองคนรู้สึกสนใจสุราขึ้นมาเช่นกัน ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้าง ต่างพากันหันไปมองสุราหัวใจหยกเยือกแข็งทันที
หนี่หยันโยนขนมจีบทองคำลูกสุดท้ายเข้าปาก ในที่สุดนางก็กินอาหารในร้านปู้ฟางครบทุกจาน หญิงสาวรู้สึกอิ่มอร่อยมีความสุขเป็นอันมากขณะมองกองจานอาหารบนโต๊ะ
“สุรานี่กลิ่นหอมใช้ได้” หนี่หยันลุกขึ้นบิดขี้เกียจ นางลูบพุงก่อนเดินไปที่โต๊ะเซียวเยวี่ยและจีเฉิงเสวี่ย
“สุราหัวใจหยกเยือกแข็งของเถ้าแก่ปู้เป็นสุราที่ดีที่สุดที่ข้าเคยดื่มมาเลย แม่นางอยากลองชิมดูหรือไม่” จีเฉิงเสวี่ยพูดอย่างอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD