“พี่ใหญ่ หมายเลขเจ็ดโดนหยามหน้าเสียยับขนาดนี้ เราต้องไปแก้แค้นสิขอรับถึงจะถูก” ชายหนวดหนาร่างก็หนาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนยังไม่อยากยอมแพ้ หนวดบนหน้าเขากระตุกรัวด้วยโทสะอันควบคุมไม่อยู่
“ไปแก้แค้นเช่นนั้นรึ เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดพวกขั้นนักพรตยุทธการทั้งหลายถึงไม่กล้าบุกเข้าไปชิงต้นตื่นรู้ทางห้าสายมาซึ่งๆ หน้า” หูอี้เฟิงเหลือบตามองบรรดาพี่น้องของเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
ทุกคนอึ้งกิมกี่ไปทันที คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจจริงๆ ร้านนั้นเป็นเพียงร้านอาหารเล็กๆ เท่านั้น แถมเจ้าของร้านยังมีพลังปราณอยู่แค่ระดับห้าขั้นราชันยุทธการ ไม่ได้ต่างอะไรจากมดปลวกในสายตาพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการเป็นโขยงคงไม่กลัวกับอีแค่ขั้นราชันยุทธการคนเดียวหรอกใช่ไหม
นี่เป็นเรื่องน่าขันที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
“พอมาถึงนครหลวงข้าก็สั่งให้คนไปสืบหาปูมหลังของร้านที่ว่านี่ ร้านอาหารเล็กๆ นี้ดูไม่ได้สลักสำคัญอะไรใช่หรือไม่ แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น…” หูอี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าพร้อมเปิดปากอธิบาย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่ได้มาถูกต้องเพียงใด แต่ปลอดภัยไว้ก็ยังดีกว่ามาร้องไห้ที่หลัง
“ข้อมูลที่ได้มาบอกว่าหุ่นยนต์ที่ร้านนั้นสยบได้แม้กระทั่งขั้นนักพรตยุทธการ ทั้งยังมีอสูรเวทในตำนานนอนเฝ้าปากทางเข้าร้านอยู่ เรื่องอสูรเวทระดับเก้านี้น่าจะเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น แต่ต่อให้ไม่ได้เป็นอสูรเวทระดับเก้าในตำนานจริง อย่างน้อยก็น่าจะมีระดับเจ็ดแน่นอน หากร้านมีผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการเฝ้าอยู่ เจ้ากล้าเดินดุ่มๆ เข้าไปโดยไม่ดูตาม้าตาเรือรึ”
หูอี้เฟิงถามด้วยสีหน้าจริงจังขณะบรรยายข้อมูลของร้าน เล่นเอาบรรดาฝูงชนตาโตเป็นไข่ห่าน
ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดตัวสั่นขึ้นมาทันที พับผ่าสิ… ไม่แปลกใจเลย หุ่นยนต์นั่นไม่ใช่ก้อนเศษเหล็กธรรมดาจริงๆ เสียด้วย! ไอ้หุ่นยนต์เวรตะไลนั่นสยบได้แม้กระทั่งขั้นนักพรตยุทธการ… ช่างน่าขนพองสยองเกล้าอะไรเช่นนี้!
“ดังนั้นการที่หมายเลขเจ็ดรอดชีวิตกลับมาได้ก็ถือว่าปาฏิหาริย์มากแล้ว” หูอี้เฟิงกล่าว
“พี่ใหญ่ แต่หากเราปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ ข้าหมายเลขเจ็ดคนนี้คงยอมไม่ได้!” ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดกัดฟันกรอดพร้อมบ่นพึมพำ เมื่อนึกถึงการที่ตนเองต้องวิ่งแก้ผ้าทั่วเมืองจนทำให้รู้สึกอดสูเหลือทนนั้น เขาก็รู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้าอยากหาทางระบายออก
หูอี้เฟิงเดินวนทั่วห้องพร้อมเอามือไพล่หลัง ดวงตาหรี่เล็ก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “อย่างไรเสียเราก็ต้องแก้แค้นแน่นอน แต่จะบุ่มบ่ามไปไม่ได้… ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม”
…
“สวรรค์ช่วย! ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้… อสูรผีบ้าอะไรนี่!”
“แม่จ๋า! สิงโต! สิงโตกินคน!”
“นี่มันอสูรเวทสิงโตนี่ ตัวใหญ่อย่างกับอะไรดี…”
ราชสีห์โลกันตร์ตัวมหึมาเดินนวยนาดอยู่บนถนนสายหลักของนครหลวง เกือบทำให้หินทุกก้อนที่มันเหยียบลงไปร้อนระอุเป็นหลอมละลาย ดวงตาคมกริบมองจ้องไปที่บรรดามนุษย์ต่ำต้อยรอบกาย
มันร้องคำรามจนชาวบ้านต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดงบนหลังราชสีห์โลกันตร์หัวเราะคิกคัก จากนั้นก็เอามือลูบศีรษะของสิงโตเพื่อทำให้มันใจเย็นลง
“ใจเย็นๆ ก่อน อย่าทำให้คนอื่นตกใจกลัวไป” เสียงของชายหนุ่มผู้นั้นอ่อนโยน ดวงตาดูเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ขณะมองถนนหนทางของนครหลวงที่แสนจอแจ
ทันใดนั้นร่างหนาก็พุ่งจากระยะไกลมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
รูม่านตาของชายในชุดแดงหดแคบลงเล็กน้อย จ้องเขม็งไปที่ชายร่างหนาตรงหน้า จากนั้นเขาก็ยิ้มบางแล้วพยักหน้าตอบรับ ชายร่างกำยำแผ่พลังปราณแข็งแกร่งออกจากร่าง ระดับของพลังอยู่ที่ขั้นนักพรตยุทธการ
“อสูรเวทของท่านยอดเยี่ยมดีแท้ แต่นครหลวงของเรามีกฎห้ามอสูรเวทสัญจรไปมาบนถนนหนทาง ทางเราหวังว่าท่านจะเข้าใจ” เซียวเหมิงมองชายตรงหน้าและอสูรเวทด้วยสายตาเคร่งขรึมจริงจัง หัวใจกระตุกอยู่ในอก
อสูรเวทระดับเจ็ดราชสีห์โลกันตร์กับผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ ช่างเป็นการรวมตัวที่น่ายำเกรงอะไรเช่นนี้
“ข้ามีนามว่ามู่หลิงเฟิงจาก… ดินแดนป่ารกชัฏ ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงแห่งนครหลวง รวมถึงความแข็งแกร่งน่ายำเกรงของท่านมานาน พอได้พบท่านวันนี้ ต้องขอบอกว่าคำสรรเสริญเหล่านั้นไม่ได้เกินความจริงแต่อย่างใด” ชายในชุดแดงมู่หลิงเฟิงยิ้มกริ่ม
เขากระโดดลงจากหลังราชสีห์แล้วลูบศีรษะของมันหนึ่งที จากนั้นก็เรียกแผ่นวงแหวนปราณทำจากหยกคุณภาพสูงลิ่วออกมาถือไว้ในมือ อสูรเวทตรงหน้ากลายสภาพเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในแผ่นวงแหวนหยกทันที
รูม่านตาของเซียวเหมิงหดแคบอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่สูดหายใจเข้าลึกด้วยความตกใจ คนจากดินแดนป่ารกชัฏมีความรู้เรื่องอสูรเวทลึกซึ้งถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่าจะเป็นคนสำคัญจากกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งกัน!
แม้แต่คนระดับนี้ก็เข้ามาเล่นด้วยหรือนี่… อนาคตอันใกล้นี้ช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง!
“เชิญตามข้ามาทางนี้ ข้าได้จัดที่พักอาศัยอันยอดเยี่ยมเอาไว้ให้ท่านเรียบร้อยแล้ว” เซียวเหมิงเอ่ย
มู่หลิงเฟิงหันไปมองเซียวเหมิงด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธคำเชิญชวน เขาเดินตามชายตรงหน้าไปอย่างไม่รีบร้อนอะไร
…
“แม่นาง ปิ่นปักผมหยกนี้ทำมาจากวัสดุคุณภาพเยี่ยมอย่างแน่นอน ลองดูสีสิขอรับ ช่างระยิบระยับจับตาเป็นประกายเหลือเกิน ราคาหนึ่งเหรียญทองนี้ไม่ได้จัดว่าแพงเกินไปแต่อย่างใด!”
บนถนนสายหลัก พ่อค้าผู้หนึ่งกำลังจ้องไปที่หญิงสาวท่าทางเหนียมอายในชุดเกราะนักรบไม่วางตา ปากก็ขยับพูดโฆษณาสินค้าของตนเองไปด้วย สัญชาตญาณของเขาบอกว่าแม่นางคนนี้ท่าทางจะเป็นหมูในอวย ดูจากใบหน้าอันแสนจืดชืดไม่ค่อยทันคนของนางแล้วต้องหลอกง่ายแน่นอน
“หนึ่งเหรียญทองเชียวรึ” นางมีสีหน้าลังเล ดวงตายังคงประเมินคุณภาพของปิ่นหยกตรงหน้าด้วยสายตาฉงนสงสัย
วัสดุของปิ่นหยกนี้ดูธรรมดาเป็นอันมาก ดูเหมือนการเอาเศษหยกมาแปะเข้าด้วยกันมากกว่า หรือว่าจะมีคุณสมบัติพิเศษอื่นกันนะ
“แม่นาง ข้าเป็นแค่เจ้าของร้านเล็กๆ เท่านั้น ถึงหน้าตาของปิ่นหยกนี้จะดูธรรมดา แต่มันมีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่เหมือนใคร หากปักไปที่มวยผม ท่านจะรู้สึกสงบนิ่งมีสมาธิเป็นอันมาก และยังช่วยในการฝึกปราณได้เป็นอย่างดี แค่มองปราดเดียวข้าก็รู้แล้วว่าท่านเป็นนักรบ ปิ่นหยกนี้จึงยิ่งเหมาะกับท่านเข้าไปใหญ่” พ่อค้าพยายามพูดเกลี้ยกล่อมพร้อมทำตาล่อกแล่กไปมา
เมื่อได้ยินคำอวดอ้างนั้น แม่นางผู้นี้ก็เริ่มคล้อยตาม ยิ่งนางมองปิ่นหยกมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความพิเศษที่พ่อค้าเป่าหูมากขึ้นเท่านั้น หรือว่าไอ้ปิ่นยกนี่จะเป็นอุปกรณ์พลังปราณอย่างหนึ่งกันนะ
พอคิดได้ว่าตนเองอาจจะเจอขุมทรัพย์เข้าให้แล้ว หญิงสาวก็รีบล้วงมือลงไปหยิบกระเป๋าเงินเพื่อจ่าย
“เฮ้ สาวน้อย ไม่ได้เจอกันเสียหลายปี เจ้ายังเซ่อซ่าเงอะงะน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD