“อาจารย์อาอู๋ ตื่นได้แล้ว ได้เวลาไปตามหาปู้ฟางกันแล้ว”
เสียงเคาะประตูดังก้องในโรงเตี๊ยม อู๋อวิ๋นไป่ในชุดคลุมสีขาวยืนเอามือไพล่หลังพลางเคาะประตูอยู่
หลังจากที่เสียงขลุกขลักดังขึ้นในห้องอยู่พักใหญ่ อาจารย์อาอู๋ก็เดินออกมาในที่สุด เขาพยักหน้าให้หญิงสาวตรงหน้าพลางยิ้มอย่างขลาดๆ
“แม่นาง ตื่นเช้าเสียจริงขอรับ” เขาเอ่ย
“เช้าบ้าเช้าบออะไรกัน นี่สายตะวันโด่งแล้ว เร็วเข้า ไปตามหาปู้ฟางกัน” อู๋อวิ๋นไป่กลอกตาใส่อาจารย์อาอู๋ จากนั้นก็เดินนำไปยังประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม
ทั้งสองเดินออกจากโรงเตี๊ยมมา พร้อมหรี่ตามองหาเส้นทางที่ถูกต้อง จากนั้นก็เดินไปทางทิศที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางตั้งอยู่ เนื่องจากถามทางกับพนักงานโรงเตี๊ยมมาแล้ว พวกเขาจึงไม่หลงทาง
ทั้งสองเดินไปสักพักก็มาถึงตรอกห่างไกลในที่สุด จากคำของพนักงาน ร้านเล็กๆ ของฟางฟางตั้งอยู่ในตรอกเล็กแห่งนี้
ทั้งสองดูสนใจใคร่รู้เป็นอันมาก เนื่องจากตรอกนี้ไม่ได้เงียบเชียบไร้ผู้คนเหมือนที่คิดไว้ตอนแรก แต่กลับมีคนมากมายอออยู่ข้างในพลางส่งเสียงอึกทึก แถมยังมีคนเดินออกมาอย่างไม่ขาดสาย พร้อมหามร่างเมาแอ๋กลิ่นสุราหึ่งออกมาด้วย
ร่างสองร่างเดินตรงมาจากระยะไกล ร่างหนึ่งเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน พลังปราณที่แผ่ออกมาจากกายแข็งแกร่งน่ากลัวไม่น้อย
ส่วนอีกร่างที่อยู่ข้างๆ กันเป็นชายชราผิวขาวหน้าตาดูแปลกประหลาด เขาเดินบิดลำตัว ทั้งยังจีบนิ้วโป้งและนิ้วกลางเข้าหากัน
คนทั้งคู่ที่เดินตรงมาทำให้อู๋อวิ๋นไป่ขมวดคิ้วทันที สีหน้าของนางเคร่งขรึมขึ้น
นั่นเพราะหญิงสาวสัมผัสได้ว่าชายชราท่าทางสะดีดสะดิ้งข้างชายหนุ่มนั้น… มีพลังปราณแก่กล้าเป็นอันมาก หากวัดกันด้วยระดับพลังที่ปล่อยออกมา ชายผู้นี้มีพลังปราณแข็งแกร่งกว่าอาจารย์อาอู๋ที่อยู่ข้างๆ นางเสียอีก
“เดี๋ยวนี้นครหลวงเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา มีขั้นนักพรตยุทธการ… อยู่ทุกหนทุกแห่งไปหมด” อู๋อวิ๋นไป่พึมพำ จากนั้นก็เลิกสนใจแล้วหันกลับมาลากอาจารย์อาอู๋เข้าตรอกไป
“ท่านลุงเหลียน ท่านรู้จัก… สองคนนั้นหรือไม่” จีเฉิงเสวี่ยปรายตามองหลังของอู๋อวิ๋นไป่ พลางหันไปถามเหลียนฟู่ด้วยเสียงแผ่วเบา
เหลียนฟู่โบกนิ้วที่จีบกันไปมาขณะเอ่ยตอบ “ดูเหมือนว่าพวกนี้จะไม่ได้มาจากจักรวรรดิวายุแผ่วของเรานะพะย่ะค่ะ ข้าเองก็ไม่อาจทราบได้”
“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นขั้นนักพรตยุทธการจากที่อื่นสินะ… มาเพื่อชิงต้นตื่นรู้ทางห้าสายเหมือนกันอย่างนั้นหรือ ต้นไม้นั่น… เลอค่าน่าดึงดูดใจถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่” จีเฉิงเสวี่ยพึมพำ
“พระองค์ตรัสถามจริงหรือเล่นพะย่ะค่ะ ต้นตื่นรู้ทางห้าสายนั้นช่วยให้ขั้นนักพรตยุทธการบรรลุเป็นขั้นเทพแห่งสงครามได้ อย่าว่าแต่ขั้นนักพรตยุทธการคนอื่นเลยพะย่ะค่ะ แม้แต่ข้ารับใช้คนนี้ยังตื่นเต้นจนทนไม่ไหวเช่นกัน” เหลียนฟู่สะบัดมือจีบของตนไปมาพลางเอ่ย
จีเฉิงเสวี่ยพยักหน้า การที่ต้นตื่นรู้ทางห้าสายช่วยให้ขั้นนักพรตยุทธการก้าวขึ้นไปเป็นขั้นเทพแห่งสงครามได้นั้น ย่อมแปลว่าต้นไม้ที่ว่านี้ทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง ทว่าตอนที่มันยังเป็นเพียงเมล็ดนอนกองอยู่ในวังหลวง พวกเขาได้ลองทุกวิถีทางเพื่อให้ต้นไม้นี้แตกหน่อแต่ก็ไม่เป็นผล เหตุใดจึงมาผลิดอกและกำลังจะออกผลเมื่อไปตกอยู่ในมือเถ้าแก่ปู้กันเล่า
คำอธิบายหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ เถ้าแก่ปู้มีดินชนิดพิเศษที่ทำให้เมล็ดล้ำค่านี้เจริญงอกงามขึ้นมาได้
หรือไม่ต้นตื่นรู้ทางห้าสายก็ถูกโชคชะตากำหนดมาให้ไม่ได้เป็นของวังหลวง
“ไปกันเถิด ไปชมสุราชนิดใหม่ของเถ้าแก่ปู้กัน ข้า… ตื่นเต้นมากจนทนไม่ไหวแล้ว” จีเฉิงเสวี่ยหัวเราะพลางก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า
…
สุราสีฟ้าอมเขียวไหลผ่านริมฝีปากสีแดงเรื่อและฟันที่ขาวราวอัญมณีเข้าไปในปากของหนี่หยัน
ความรู้สึกเหมือนเปลวเพลิงที่กำลังแผดเผาแผลงฤทธิ์อยู่ในปากนาง ทำให้ใบหน้าขาวผ่องเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ นางเลียริมฝีปากด้วยลิ้นบอบบางพลางผ่อนลมหายใจออกมา สุราไหลลงลำคอ แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นจับขั้วหัวใจที่ทำให้ร่างทั้งร่างเหมือนปะทะเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง… จังหวะที่ฤทธิ์สุราเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็นนั้นทำให้นางหน้าแดงก่ำจนอดส่งเสียงออกมาอย่างพึงพอใจไม่ได้
พอระเบิดลูกที่สามปะทุขึ้นในท้อง มันก็ส่งความรู้สึกที่ทำให้หนี่หยันต้องเงยหน้าขึ้น ผมของนางปล่อยสยาย ฟันกดลงบนริมฝีปาก ดวงตาพร่าเลือนด้วยความง่วงงุน
“สุราชั้นเลิศ!”
หนี่หยันจิบสุราอีกครั้ง คราวนี้ฤทธิ์ของมันพุ่งตรงไปที่ศีรษะทันที ทำให้นางรู้สึกปวดหน่วงๆ สองหูได้ยินเสียงกระซิบของทำนองแห่งการตื่นรู้
ทำนองแห่งการตื่นรู้เช่นนั้นรึ สภาวะจิตของหนี่หยันพลันกลับมาแจ่มชัดแน่วแน่ด้วยอำนาจแห่งการตื่นรู้
พอได้จิบสุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งหยดสุดท้ายจากจอกกระเบื้องสีฟ้าขาว หนี่หยันก็รู้สึกสบายกายเป็นอย่างมาก แต่ร่างก็ชาๆ ไปในเวลาเดียวกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD