บทที่ 215 เสียงลมหวีดหวิวกับบรรยากาศชวนสังเวช – ตอนที่ต้องอ่านของ ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD
ตอนนี้ของ ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายSlice of Lifeทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 215 เสียงลมหวีดหวิวกับบรรยากาศชวนสังเวช จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ณ สวนสวยวิจิตรซึ่งล้อมรอบไปด้วยศาลาและระเบียง แบ่งเป็นสัดส่วนด้วยลำธารเล็กๆ ที่ไหลลงไปรวมกันตรงกลางสวน มีภูเขาจำลองปรากฏเป็นฉากหลัง สายน้ำที่ไหลคดเคี้ยวไปมาภายในสวนมีต้นกำเนิดมาจากหน้าผาหินบนภูเขาจำลองนั่นเอง
แสงจันทร์ส่องสว่างไปทั่วสวน ส่องสะท้อนน้ำในลำธารจนดูระยิบระยับราวกับเป็นทะเลแห่งดวงดารา
ที่มุมหนึ่ง ร่างสองร่างค่อยๆ หย่อนตัวเองลงมาบนพื้นหญ้าเขียวขจีอย่างเงียบกริบจนไม่มีผู้ใดรู้ตัว ใบหน้าของอาจารย์อาอู๋เต็มไปด้วยความวิตกกังวลขณะเดินตามอู๋อวิ๋นไป่ซึ่งกำลังเดินตัดสวนไปติดๆ ที่นี่เป็นที่ที่อาหนี่บอกว่ามนุษย์อสรพิษถูกจองจำอยู่ภายใน และเป็นสถานที่พักอาศัยของเจ้ามู่เฉิงเช่นกัน
“แม่นาง… โปรดระวังด้วย ในเมื่อเจ้ามู่เฉิงตั้งใจล่อให้เถ้าแก่ปู้มาที่นี่ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่หมอนั่นจะไม่วางกับดักหรือวางแผนซุ่มโจมตีเอาไว้” อาจารย์อาอู๋กล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม
อู๋อวิ๋นไป่พยักหน้ารับ นางตระหนักเรื่องนี้ดี ไม่มีทางที่เจ้ามู่เฉิงจะไม่เตรียมการใดๆ เพื่อรอรับมือเถ้าแก่ปู้
คนทั้งคู่อดรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาไม่ได้เมื่อต้องยืนอยู่ในสวนที่นิ่งสนิทและเงียบสงัด ซึ่งนานๆ ทีจะมีเสียงสายน้ำไหลดังมาให้ได้ยิน
“ไปกันเถอะ… เราต้องหาด้วยว่าพวกมนุษย์อสรพิษถูกขังไว้ที่ไหน” อู๋อวิ๋นไป่เอ่ย
ภายในพริบตาทั้งสองร่างก็พุ่งไปไกลลิบแต่กระนั้นก็ยังไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ
เจ้ามู่เฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในห้องห้องหนึ่ง ที่ข้างกายมีโต๊ะซึ่งวางถ้วยน้ำชาควันกรุ่นเอาไว้ กลิ่นหอมของชาลอยล่องไปทั่วทั้งห้อง
ตอนนั้นเองชายชราก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ เขาหลับตาดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของชาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงค่อยๆ ออกจากห้องไป
ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากห้อง เจ้ามู่เฉิงก็อดพ่นลมร้อนออกมาไม่ได้เมื่อร่างสัมผัสกับความหนาวเหน็บของอากาศภายนอก อึดใจถัดมา พลังปราณภายในกายของชายชราก็เพิ่มสูงขึ้นขณะที่เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วพุ่งตัวไปในอากาศ!
เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังก้องอยู่ในสวน ทำเอาโสตประสาทของผู้ที่ได้ยินเสียงนั้นแทบจะดับไป ทั้งยังทำลายความเงียบสงบของสวนลงอีกด้วย
ตอนนั้นเองเสียงหัวเราะชั่วร้ายก็ดังกึกก้องในอากาศราวฟ้าร้อง
ตูม! ตูม!
ทันทีที่กระแสพลังปราณเที่ยวแท้พุ่งประสานกัน คลื่นพลังที่สะท้อนออกมาก็ผลาญทำลายสวนสวยไปเสียสิ้น และเปลี่ยนให้มันกลายเป็นสนามรบสุดสะพรึงในชั่วพริบตา
ตอนนั้นเองเจ้ามู่เฉิงก็แสยะยิ้มออกมา “หมอนั่นเดินมาติดกับจนได้”
ร่างของชายชราที่พุ่งอยู่ในอากาศมาหยุดนิ่งอยู่เหนือสวน แล้วก็ได้รับรู้ถึงความโกลาหลของสนามรบที่อยู่เบื้องล่าง เจ้ามู่เฉิงมองเห็นร่างของผู้คนมากมายล้อมรอบคนกลุ่มหนึ่งเอาไว้
“หือ ไม่ใช่ไอ้ปู้ฟางหรอกรึ” เขาชะงักไปเมื่อตระหนักได้ว่าร่างที่เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ล้อมเอาไว้นั้นไม่ใช่ปู้ฟาง
“ฮ่าๆ! เจ้ามู่เฉิง เป้าหมายครั้งนี้คือไอ้สองคนนี้อย่างนั้นสิ ทันทีที่จัดการคนพวกนี้ได้ ต้นตื่นรู้ทางห้าสายก็จะเป็นของพวกเราใช่หรือไม่” เสียงตะโกนดังลั่นดังมาจากด้านล่าง เสียงนั้นมาจากชายร่างหนาเปลือยอกที่นั่งอยู่บนหลังเสือดาวซึ่งดูร้ายกาจไม่ต่างกัน และเป็นชายผู้นี้นี่เองที่เปล่งเสียงหัวเราะดังกึกก้องเมื่อครู่
รอบตัวเขามีผู้เยี่ยมยุทธ์อีกสามคนซึ่งต่างก็มีอสูรเวทอยู่ในความครอบครองของตนเอง คนเหล่านี้ต่างกำลังยืนล้อมอู๋อวิ๋นไป่กับอาจารย์อาอู๋เอาไว้
อาจารย์อาอู๋ยืนนิ่ง มือกุมข้อมือของอมนุษย์อสรพิษไว้แน่น ใบหน้าซีดเผือดถึงขั้นที่ว่าไม่อาจซีดไปกว่านี้แล้ว
เจ้ามู่เฉิงวางกับดักไว้รอท่าปู้ฟางจริงๆ เสียด้วย แถมกับดักตรงหน้าก็น่าสะพรึงกลัวไม่น้อยทีเดียว…
ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการสี่คนกับอสูรเวทระดับหกอีกสองตัว ความแข็งแกร่งนี้ในนครหลวงไม่อาจมีใครรับมือได้ เจ้ามู่เฉิงเตรียมสิ่งนี้ไว้รอท่าปู้ฟางซึ่งอยู่เพียงขั้นราชันยุทธการ… ดูท่าตาแก่นั่นคงคิดจะจัดการเถ้าแก่ปู้ให้สิ้นท่าเสียจริงๆ
อู๋อวิ๋นไป่ยืนนิ่งอยู่กลางวงล้อม คิ้วของนางขมวดมุ่น พลังปราณเที่ยงแท้พลุ่งพล่านออกจากร่าง
“คนจากวิหารเทพเจ้าสำดับสามแห่งดินแดนป่ารกชัฏเช่นนั้นรึ วิหารเทพเจ้าสำดับสามแห่งดินแดนป่ารกชัฏผู้สูงส่งกลับดึงตัวเองลงต่ำเพื่อสมรู้ร่วมคิดกับคนจากเกาะมหายานที่ไร้ซึ่งความสำคัญ… ดูท่าพวกเจ้าคงจะไม่สูงส่งสมชื่อหรอกกระมัง” อู๋อวิ๋นไป่ประกาศก้องเสียงเย็น
วิหารเทพเจ้าสำดับสามแห่งดินแดนป่ารกชัฏไม่ใช่กลุ่มคนแปลกหน้าสำหรับอู๋อวิ๋นไป่ ว่ากันตามตรงคนกลุ่มนี้ถือเป็นศัตรูทรงอำนาจสมน้ำสมเนื้อกับตำหนักเมฆาขาว แต่ทั้งสองฝ่ายตั้งอยู่คนละพื้นที่ ตำหนักเมฆาขาวแผ่อิทธิพลเหนือหนองน้ำปราณมายา ส่วนวิหารเทพเจ้าสำดับสามแห่งดินแดนป่ารกชัฏครอบครองพื้นที่ทางตอนกลางของป่ารกชัฏ
แม้อู๋อวิ๋นไป่จะพูดว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิด แต่ฝ่ายที่มีผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการจำนวนมากย่อมเป็นวิหารเทพเจ้าสำดับสามแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ส่วนสำนักพุทธอย่างเกาะมหายานนั้นแม้จะอยากอวดขุมพลังเพียงใด ก็ไม่มีน้ำหน้าจะทำเช่นนั้นได้
“โอ้ หญิงสาวหน้าตากระจุ๋มกระจิ๋มอย่างเจ้ารู้จักเราด้วยหรือ ดูท่าปูมหลังของเจ้าก็ย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน!” ชายที่นั่งอยู่บนหลังเสือดาวเหยียดยิ้มขณะปรายสายตามองอู๋อวิ๋นไป่
เจ้ามู่เฉิงลงมายืนอยู่บนยอดเขาจำลองพลางมุ่นคิ้ว จากนั้นก็ตะโกนถามอู๋อวิ๋นไป่กับอาจารย์อาอู๋ “เหตุใดจึงเป็นพวกเจ้าที่มาช่วยมนุษย์อสรพิษ แล้วปู้ฟางเล่า”
เมื่อได้ยินคำถามนั้น อู๋อวิ๋นไป่ก็ทำเพียงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าอวดดีแต่ไม่พูดอะไร
“ช่างเถอะ… ในเมื่อพวกเจ้ายอมมาเสี่ยงแทนหมอนั่น แปลว่าความสัมพันธ์ย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน จับตัวพวกเจ้าเอาไว้เจรจากับเจ้านั่นผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกัน” เจ้ามู่เฉิงประกาศด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ก่อนจะหันไปมองเหล่าขั้นนักพรตยุทธการที่อยู่ด้านล่างตน
“ถ้าจับตัวพวกมันได้ โอกาสที่พวกเจ้าจะได้ครอบครองต้นตื่นรู้ทางห้าสายก็จะมีมากขึ้น เอาละ เพื่อต้นไม้นั่น…พวกเจ้ายังจะรออะไรอยู่อีกเล่า”
“นี่ เจ้ามู่เฉิง เพื่อผลประโยชน์ของทั้งเจ้ากับข้า อย่าคิดจะมาโป้ปดอะไรง่ายๆ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องได้สำนึกแน่!” ชายร่างหนาปรายตามองเจ้ามู่เฉิง หัวเราะเสียงเย็น จากนั้นก็ผิวปากออกมา ทันใดนั้นเสือดาวใต้ร่างก็กระโจนออกไปทันที
…
ตูม ตูม
“เจ้าเองรึ!” เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวจำนักบวชหัวโล้นได้ จึงปล่อยรังสีสังหารออกจากดวงตาอย่างไม่คิดปกปิด “ไอ้โล้นที่เป็นคนส่งข่าวให้เจ้ามู่เฉิงมิใช่รึ”
สีหน้าของนักบวชหัวโล้นในตอนนี้อธิบายได้คำเดียวว่ากำลังอกสั่นขวัญหาย การอยากลิ้มรสเนื้อสุนัขทำเอาเขาเกือบถูกเจ้าสุนัขดำตบเอาถึงตาย เขาคิดว่าตัวเองไม่น่าดวงซวยไปกว่านี้แล้ว ทว่าเมื่ออุตส่าห์ลากสังขารของตนมาถึงประตูตำหนักของเจ้ามู่เฉิง ก็กลับพบว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับแม่นางคนงามที่ในมือกำลังกวัดแกว่งกระบี่ส่วนใบหน้าฉายคำว่า ‘สังหาร’ ออกมาอย่างเด่นชัด นี่เขาไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้จึงต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้กัน!
“ไอ้สารเลว! ตายเสียเถอะ!”
สิ้นเสียงตะโกนเกรี้ยวกราด กระบี่เมฆาหกเหินที่ห้อมล้อมด้วยลำแสงกระบี่ก็พุ่งตรงเข้าใส่นักบวชหัวโล้นทันที
เอื้อก
ร่างของนักบวชหัวโล้นลอยละล่องไปตามแรงปะทะ เลือดไหลออกมาราวห่าฝน
อู๋อวิ๋นไป่ที่ยังใช้ฝ่ามือกดบาดแผลของตัวเองอยู่ได้ยินเสียงดังตุ้บสะท้อนก้องอยู่เบื้องหลัง นางหันไปมองนักบวชหัวโล้นเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็คำรามเสียงต่ำพลางหายตัวไปท่ามกลางความมืดมิด
เสียงลมหวีดหวิวมาพร้อมบรรยากาศชวนสังเวช
นักบวชหัวโล้นมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่สูงบนฟากฟ้าด้วยดวงตาที่มีน้ำตากบ พลางสบถสาบานในใจว่าจะไม่คิดหาเรื่องกินเนื้อสุนัขอีกแล้วในชาตินี้
…
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน แสงแรกของวันส่องลอดหน้าต่างของร้านอาหารเล็กๆ พลางอาบไล้ความอบอุ่นไปทั่วใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของร้าน เมื่อถูกปลุกจากการหลับลึก ปู้ฟางก็ย่นจมูกจากนั้นจึงลืมตาขึ้น
ได้เวลาเริ่มต้นเช้าที่สดใสอีกวันแล้ว
ปู้ฟางกระโจนออกจากเตียงไปล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็ลงไปที่ครัวเพื่อฝึกทักษะการใช้มีดและการแกะสลักประจำวัน เมื่อทำกิจวัตรเสร็จ เขาก็เตรียมซี่โครงเปรี้ยวหวาน จากนั้นจึงยกจานออกไปนอกร้านตรงไปยังจุดที่เจ้าดำนอนอยู่
“เจ้าดำ ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว…” ปู้ฟางเรียกอีกฝ่ายเบาๆ ทว่าปฏิกิริยาของเจ้าดำก็ทำเอาชายหนุ่มชะงักไป ปกติเจ้าดำจะเดินหูตั้งหางกระดิกตรงมายังจานอาหาร ทว่าวันนี้มันกลับเดินทอดน่องมาอย่างเกียจคร้านพลางปรายสายตาเดียดฉันท์ให้จานซี่โครงเปรี้ยวหวาน”
ดูท่าแล้วเจ้าสุนัขตัวอ้วนจะยังไม่หายขุ่นเคืองกับเหตุการณ์เมื่อวาน เมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่าย ปู้ฟางก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าศัตรูเมื่อวานลงมือถึงขั้นไหน ถึงได้ดึงความโกรธเกรี้ยวสุดขีดออกจากร่างของเจ้าดำได้
แต่ในเมื่อเจ้าดำไม่คิดพูด ก็ไม่มีทางที่ปู้ฟางจะง้างปากของมันได้ เขาจึงเดินกลับเข้าร้านไป พลันกลิ่นหอมอ่อนๆ ยั่วน้ำลายก็เข้ามาทักทายถึงในโพรงจมูก
ปู้ฟางหันหน้าไปมองต้นตื่นรู้ทางห้าสายที่วางอยู่ตรงมุมห้อง จากนั้นสายตาของชายหนุ่มก็ต้องเบิกกว้าง ต้นไม้ของเขาออกผลสีเขียวลูกเล็กๆ ออกมาสามลูก และพวกมันนี่เองที่เป็นต้นกำเนิดของกลิ่นหอม แปลว่าต้นตื่นรู้ทางห้าสายเริ่มออกผลแล้วเช่นนั้นสินะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD