กระแสพลังปราณปริมาณมหาศาลระเบิดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าของนครหลวง ทันทีที่ลอยขึ้นสูงถึงระดับก้อนเมฆมันก็กระจายออกไปทั่วทั้งสี่ทิศ คลื่นกระแสพลังปราณที่มีที่มาจากหลายหลักแหล่งนี้ มาพร้อมเสียงก่นด่าด้วยโทสะของคนจำนวนไม่น้อย
บรรยากาศภายในตรอกตอนนี้อื้ออึงด้วยเสียงตะโกนโกลาหล ฝูงชนที่กำลังเกรี้ยวกราดอยู่หน้าร้านไม่คิดทนอีกต่อไปหากไม่ได้ผลตื่นรู้ทางห้าสายกลับไปด้วยในวันนี้
ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวของผู้คนมากมาย ใบหน้าของหนี่หยันก็ซีดเผือด นางรีบดึงเยี่ยจึหลิงเข้าหาตัวเพื่อกันไม่ให้แม่นางน้อยถูกฝูงชนกระแทกกระทั้นจนหลงไปในกระแสของความชุลมุน
หนี่หยันหันไปยังทิศทางที่ร้านอาหารเล็กๆ ตั้งอยู่ ผู้คนเริ่มเข้าไปล้อมร้านมากขึ้นเรื่อยๆ
นางไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเหตุใดปู้ฟางจึงไม่ยอมตอบรับข้อเสนอขายผลตื่นรู้ทางห้าสาย หากเขาตกลง…สถานการณ์คงไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้
หากชายหนุ่มยอมขาย ฝูงชนย่อมไม่คลั่งเช่นนี้แน่นอน เนื่องจากผู้ที่จะได้ครอบครองผลไม้ย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งควรค่ากับมัน อย่างจ่านคงและเปี้ยนฉางกงนั้นก็เป็นถึงขั้นเทพแห่งสงคราม ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าชิงผลไม้นี้ไปจากพวกเขาอย่างแน่นอน
แต่ปู้ฟางกลับเก็บผลตื่นรู้ทางห้าสายเอาไว้คนเดียว ซึ่งแปลว่าผู้ฝึกตนเหล่านี้สามารถใช้กำลังพยายามชิงผลไม้ไปจากเขาได้ และนี่ก็เป็นชนวนเหตุหลักที่ทำให้ความตึงเครียดอุบัติขึ้น
“พี่หญิงหนี่หยัน เถ้าแก่ปู้…จะปลอดภัยหรือไม่เจ้าคะ” เยี่ยจึหลิงถามด้วยความสงสัย นางหันไปมองหน้าหนี่หยัน แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังกัดริมฝีปากตนเองขณะตัดสินใจ พลังปราณในร่างกายเริ่มหมุนวน
เยี่ยจึหลิงตื่นตกใจ “พี่หญิงจะเข้าไปสู้ด้วยหรือเจ้าคะ”
“สู้รึ สู้อะไรกัน เจ้าจงเป็นเด็กดีแล้วไปอยู่กับตาแก่ขี้เมาเถิด ข้าจะไปช่วยเถ้าแก่ปู้” หนี่หยันดุพลางเอามือเคาะศีรษะของเยี่ยจึหลิง
นางรู้ดีว่าปู้ฟางมีทั้งหุ่นเชิดที่น่ากลัวอย่างเจ้าขาว…และสุนัขสีดำตัวนั้น แต่คู่ต่อสู้ของเขามีจำนวนมากเกินไป ปริมาณคนที่พุ่งเข้าใส่ร้านนั้นแออัดจอแจจนเคลื่อนไปข้างหน้าแทบไม่ได้ พลังปราณที่ทุกคนปล่อยออกมารุนแรงมากเสียจนทำให้กำแพงตรอกพังลงมาได้เลยทีเดียว
ด้วยความที่ตอนนี้มีขั้นนักพรตยุทธการอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นพลังของพวกเขาเมื่อรวมกันแล้วจึงมากพอที่จะต่อกรกับขั้นเทพแห่งสงครามได้
“นี่ไม่ใช่เวลามาพูดพร่ำทำเพลง” หนี่หยันถลึงตามอง จากนั้นก็ปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ออกจากร่างกาย นางกระโจนไปในอากาศเพื่อกันร่างสองร่างที่กำลังพุ่งเข้าใส่ร้านเอาไว้ จนเผยให้เห็นเรียวขาขาวราวหิมะ
“พวกเจ้า ไสหัวไปให้หมด!!”
หนี่หยันกระทืบเท้า พลังปราณไหลบ่าออกจากไหล่ นางเอื้อมมือไปคว้าตัวขั้นราชันยุทธการสองคนที่อยู่ใกล้ๆ เอาไว้ แล้วโยนคนทั้งคู่กลับไปในฝูงชนดังเดิม
ตึง ตึง!
ขั้นราชันยุทธการทั้งสองคนนั้นถูกฝูงชนที่กำลังบ้าคลั่งด้วยความโลภกระแทกอย่างรุนแรง จนกระอักเลือดออกมาก่อนกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
หนี่หยันนั้นเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งมาก นางใช้วิชาชักใยสีเขียวกว่าสามพันใยเอาไว้ในอากาศ แต่ละใยสร้างมาจากพลังปราณของนางเอง ใบหน้าของหญิงสาวเคร่งขรึมจริงจังและโกรธเกรี้ยวเป็นอันมาก
ขณะที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาโยนผู้ฝึกตนหลายคนออกไป ความรู้สึกที่เหมือนตนกำลังจมดิ่งลงในฝูงชนจำนวนมหาศาลก็พุ่งเข้ามาในจิตใจ
นางกันผู้คนมากมายไม่ให้เข้าใกล้ร้านได้ก็จริง แต่สุดท้ายแล้วคนพวกนี้ก็ยังมีจำนวนมากเกินจะรับมือไหวอยู่ดี
ลูกศรที่รวดเร็วปานสายฟ้าพุ่งตัดผ่านฝูงชน พร้อมด้วยกระแสเสียงที่ตามติดมา ลูกศรนั้นทะลุผ่านร่างของคนมากมาย ทำให้คนเหล่านั้นบาดเจ็บไปตามๆ กัน
“พี่หญิงหนี่หยัน…ข้าจะช่วยท่านเอง”
…
“ในเมื่ออยากตายกันนัก…ก็ตามนั้น”
เสียงของปู้ฟางไม่ได้ดังแต่กลับได้ยินกันทั่วทั้งตรอก ทันทีที่ฝูงชนได้ยินคำประกาศนั้น พวกเขากลับไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามดวงตากลับแดงก่ำมากขึ้นด้วยความโกรธ!
“ตายรึ! หากเจ้าไม่ส่งผลตื่นรู้ทางห้าสายมา พวกเราจะทำลายร้านอาหารของเจ้าแล้วฆ่าเจ้าให้ตายคามือ!” ใครบางคนในฝูงชนตะโกนขึ้นมา
เสียงคำว่า “ฆ่า” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางฝูงชน
เจ้าขาวพุงอ้วนกลมเคลื่อนตัวมาปิดทางเข้าร้านไว้ ดวงตาสีแดงเปลี่ยนเป็นสีม่วงทันที
“ใครที่ริอ่านทำอันตรายต่อนายท่านจะต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก”
ปัก!
อาวุธคมกริบปรากฏขึ้นในมือเจ้าขาวอีกครั้ง มันวาดกระบี่ลง ผ่าศีรษะของขั้นจักรพรรดิยุทธการสองคนที่อยู่ใกล้ที่สุดออกเหมือนผ่าผลแตงโม
เลือดข้นไหลทะลักออกมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฝูงชนล่าถอยไปแต่อย่างใด กลับทำให้กระหายเลือดมากขึ้นอีก
หนี่หยันและเยี่ยจึหลิงที่ยังคงสาละวนอยู่กับการต่อสู้เริ่มถอยร่นมาเรื่อยๆ พวกนางเคลื่อนที่มาจนถึงด้านหน้าตัวปู้ฟาง สภาพยับเยินดูไม่ได้เลยทีเดียว
“เถ้าแก่ปู้…เป็นบ้าไปแล้วหรือ! เหตุใดจึงกล้าหาเรื่องคนมากมายถึงเพียงนี้!” เสียงของหนี่หยันดูโกรธเคืองเล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่าปู้ฟางคิดอะไรอยู่กันแน่
คนที่คุ้นเคยกับปู้ฟางดีต่างพากันมาช่วยกันฝูงชนออกไป พร้อมถอยร่นไปที่ปากทางเข้าร้าน
สภาพของเซียวเหมิง อู๋อวิ๋นไป่ และคนอื่นๆ เองก็ดูไม่ได้เช่นกัน
ปู้ฟางกวาดสายตามองคนที่มาช่วยเขาแล้วดวงตาก็พลันอ่อนลง แต่เมื่อหันกลับไปมองบรรดาฝูงชนที่ถูกความโลภบังตา เขาก็พลันเย็นชาขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าสุนัขขี้เกียจ คนพวกนี้…ไม่ต้องออมมือ” ชายหนุ่มพูดเสียงเย็น เป็นครั้งแรกที่เสียงของเขาเคลือบแฝงด้วยรังสีสังหาร
ปากและจมูกเจ้าดำกระตุกทันที ดวงตาของมันดูมีแววตื่นเต้นเต็มที่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD