ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD นิยาย บท 227

สรุปบท บทที่ 227 บอกว่าข้าริอ่านฮุบเอาไว้คนเดียว...เจ้าจะหน้าหนาหน้าทนไปถึงไหน: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD

บทที่ 227 บอกว่าข้าริอ่านฮุบเอาไว้คนเดียว...เจ้าจะหน้าหนาหน้าทนไปถึงไหน – ตอนที่ต้องอ่านของ ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD

ตอนนี้ของ ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายSlice of Lifeทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 227 บอกว่าข้าริอ่านฮุบเอาไว้คนเดียว...เจ้าจะหน้าหนาหน้าทนไปถึงไหน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ที่สวนเล็กแห่งหนึ่งในนครหลวง

พ่อครัวเงาหวังติงเดินไปที่กระทะใหญ่ตรงหน้า พอเปิดฝากระทะ ไอน้ำที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณหนาก็พวยพุ่งออกมาทันที ไอพลังปราณนั้นพุ่งเข้าใส่ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชรา แล้วกระจายไปรอบบริเวณ

หวังติงสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกราวกับโพรงจมูกกำลังเผาไหม้ ทำให้เขาต้องก้าวถอยหลังไปพร้อมมุ่นคิ้ว เนื่องจากความรู้สึกร้อนรุ่มนี้รุนแรงจนแทบทนไม่ไหว

“พลังสารัตถะของอสูรเวทระดับห้าตัวที่ 37 อยู่ในน้ำแกงเนื้อพลังชีวิตเรียบร้อยแล้ว แถมข้ายังใส่โอสถทิพย์ที่พบในซากปรักหักพังระหว่างเดินทางทั่วทวีปลงไปด้วย น้ำแกงเนื้อพลังชีวิตนี้ช่างเหนือชั้นเป็นที่สุด” พ่อครัวเงาดวงตาเป็นประกาย ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“ต้นตื่นรู้ทางห้าสาย…ถึงอย่างไรข้าก็ต้องเอามันมาให้ได้ ตอนนี้นครหลวงโกลาหลพอแล้ว ข้าอยากรู้นักว่าไอ้ร้านเล็กๆ นั่นมันถูกทำลายราบไปหรือยัง ดูเหมือนมีข่าวลือว่าที่นั่นมีผู้ฝึกตนระดับแปดคอยคุ้มกันอยู่…แต่ก็คงไม่มีประโยชน์ ป่านนี้น่าจะเละเป็นซากไปแล้วกระมัง”

พ่อครัวเงาพึมพำกับตนเองขณะคนหม้อน้ำแกง ทำให้กลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งกระจายไปทั่ว

เขาหยิบเหยือกกระเบื้องทรงกลมขนาดเท่ากำปั้นออกมา

จากนั้นก็จัดการเปิดฝาแล้วตักน้ำแกงเนื้อจากกระทะใส่ลงไปจนเต็มเหยือก

“น้ำแกงเนื้อพลังชีวิตนี้จะทำให้ข้าต่อกรได้แม้กระทั่งขั้นเทพแห่งสงคราม น่าเสียดายนัก…ที่ผลข้างเคียงของมันร้ายแรงเกินไป ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องชิงต้นตื่นรู้ทางห้าสายมาให้ได้”

พ่อครัวเงากุมเหยือกที่มีน้ำแกงร้อนจี๋เอาไว้ในมือแน่น จากนั้นก็หยิบชุดคลุมสีดำขึ้นมาสวม แล้วออกจากที่พักไป

ที่ด้านนอก ทหารเฝ้ายามทั้งสองซึ่งคอยจับตาดูอยู่มองเห็นพ่อครัวเงาออกจากที่พัก พวกเขาเบิกตากว้างทันที แต่ก่อนที่จะได้พูดแม้แต่คำเดียว พ่อครัวเงาก็จัดการเชือดคอของพวกเขาตายเรียบภายในพริบตา ประกายเย็นเยือกไร้ความปรานีโชนแสงกล้าออกจากดวงตาของชายชรา

สองคนนี้เป็นคนที่จักรพรรดิมอบหมายให้มาคอยติดตามความเคลื่อนไหวของเขา แน่นอนว่าเขารู้เรื่องนี้ดี แต่ก่อนหน้านี้จะให้ลงมือทำอะไรก็ป่วยการเปล่าๆ ทว่าตอนนี้เมื่อต้นตื่นรู้ทางห้าสายออกผลเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่มีเวลามานั่งใจอ่อนอีกต่อไป

หากดูจากอุปนิสัยของพ่อครัวเงาแล้ว ความจริงที่ว่าก่อนหน้านี้เขาสามารถเดินทางร่อนเร่ไปได้ทั่วทั้งทวีป และยังมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัย ย่อมเป็นสิ่งยืนยันได้ดีว่าชายชราผู้นี้ไม่ใช่คนขี้สงสารอย่างแน่นอน

แววเยาะเย้ยถากถางปรากฏขึ้นในดวงตาของพ่อครัวเงา เขายังคงกุมเหยือกไว้แน่น จากนั้นก็กระโจนไปข้างหน้าด้วยความเร็วพริบตา

สิ่งก่อสร้างจากอิฐหินแตกสลายลงมา ส่งให้ดินทรายฟุ้งกระจายไปทั่วตรอก บรรดาผู้ฝึกตนที่อยู่รายรอบต่างหายใจหนัก ดวงตาแดงก่ำ จ้องไปที่ร้านเล็กๆ ในซอกหลืบเขม็ง

เหล่าผู้ที่ยืนอยู่ด้านนอกทางเข้าร้านอาหารนั้นดูแปลกตาเป็นอย่างมาก ประกอบไปด้วยชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่ง เด็กหญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง และสุนัขตัวอ้วนตัวหนึ่ง

ในมือของปู้ฟางถือผลตื่นรู้ทางห้าสายที่เพิ่งโตเต็มที่เอาไว้ ผลไม้สุกนั้นมีสีสันสวยงามเต็มไปด้วยพลังปราณหนาแน่น กระแสพลังที่มันปล่อยออกมาเข้าท่วมไปทั่วบริเวณโดยรอบ ยั่วให้บรรดาผู้ฝึกตนที่อัดแน่นอยู่ในตรอกเริ่มรู้สึกอยากก่อความไม่สงบ

ผลตื่นรู้ทางห้าสายสามผลในมือปู้ฟางอาจเป็นโอกาสสำหรับพวกเขาก็เป็นได้ การได้ผลไม้นี้มาครอบครองจะช่วยเปิดประตูสู่การบรรลุขั้นปราณที่พวกเขาใฝ่ฝัน…

สำหรับขั้นเทพแห่งสงครามที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นได้ประโยชน์จากผลไม้นี้เพียงเล็กน้อย แม้ผลตื่นรู้ทางห้าสายจะล้ำค่ายิ่ง แต่มันก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับขั้นนักพรตยุทธการเท่านั้น ผลลัพธ์ที่ขั้นเทพแห่งสงครามจะได้รับนั้นเบาลงมาก กระนั้นหากได้ครอบครองก็ยังถือว่ากำไรงาม เนื่องจากเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง

แต่ถึงอย่างไรจ่านคงก็สัญญากับอู๋อวิ๋นไป๋ไว้แล้วว่าจะนำผลตื่นรู้ทางห้าสายกลับไปให้นางให้จงได้

ปัง!

ร่างกระเซอะกระเซิงไม่มีชิ้นดีคลานออกจากซากปรักหักพังของกำแพง สภาพของเขาดูไม่ได้แม้แต่น้อย ร่างทั้งร่างโชกไปด้วยเลือด ทำให้ดูเหมือนซากศพน่าสยองขวัญ

“แค่ก แค่ก!” เปี้ยนฉางกงไอออกมาเป็นเลือด ดวงตาเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ใครจะไปคิดว่าอุ้งเท้าสุนัขจะทำให้เขากลัวลนลานจนแทบสิ้นสติยิ่งกว่าหุ่นเชิดโลหะที่เพิ่งเจอไปก่อนหน้านั้นเสียอีก

“ร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้…ช่างน่ากลัวเสียจนไม่มีคำใดมาอธิบายได้!”

“ผู้อาวุโสเปี้ยน!” มู่หลิงเฟิงรีบวิ่งไปหาผู้อาวุโสของตนทันที เขามองร่างชายชราที่ชุมโชกไปด้วยเลือดทุกตารางนิ้ว แล้วก็รีบพยุงอีกฝ่ายขึ้นมา ชายหนุ่มแทบทนมองภาพที่เห็นไม่ได้จึงถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกหดหู่ ผู้ที่อยู่ข้างหน้าเขาคือขั้นเทพแห่งสงครามที่ถูกซ้อมเสียจนหมดสภาพ

สุนัขตัวนั้น…เป็นอสูรเวทในตำนานจริงหรือนี่

อสูรเวทในตำนาน…เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวแม้สำหรับส่วนที่ลึกที่สุดในดินแดนป่ารกชัฏ แค่คิดว่าในเมืองแห่งนี้และในตรอกตรอกนี้ มีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้มาตั้งแต่แรก เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว

“เถ้าแก่ปู้ ข้ามีนามว่าจ่านกง หนึ่งในยอดขุนพลแห่งตำหนักเมฆาขาว วันนี้ข้ามาที่นี่เพราะผลตื่นรู้ทางห้าสาย”

เมื่อต้องเผชิญกับความแข็งแกร่งของร้านอาหารนี้ สุดท้ายแล้วจ่านคงก็เลือกที่จะประนีประนอม เขาผสานกำปั้นและฝ่ามือเข้าด้วยกันเพื่อแสดงความเคารพปู้ฟาง

เมื่อได้ยินว่าชายผู้นี้เป็นหนึ่งในยอดขุนพลของตำหนักเมฆาขาว ผู้คนที่อยู่รายรอบก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน

ตำหนักเมฆาขาวเป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในหนองน้ำปราณมายา แม้หลายคนที่อยู่ที่นี่จะไม่รู้จักชื่อนี้ แต่แน่นอนว่าผู้อาวุโสเปี้ยนย่อมรู้ ใบหน้าของชายชราเปลี่ยนไปทันที ด้วยความที่เขาเป็นถึงผู้อาวุโส เขาจึงรู้ข้อมูลเป็นอย่างดีว่าตำหนักเมฆาขาวนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เรียกได้ว่าเป็นสำนักที่ทรงพลังพอๆ กับวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏเลยทีเดียว

เขามองจ่านคงด้วยสายตาทระนง

“เถ้าแก่ปู้ ข้ามีนามว่าเปี้ยนฉางกง เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสแห่งวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ข้าเองก็มาเพื่อผลตื่นรู้ทางห้าสายเช่นกัน”

ตาแก่ขี้เมาที่ยืนอยู่ไกลออกไปเริ่มส่งเสียงหัวเราะเยาะ ทว่าก็ไม่ได้ก้าวออกมาเพื่อแนะนำตนเองแต่อย่างใด เขายกสุราขึ้นจิบแล้วเอามือเช็ดปากด้วยท่าทางยินดีปรีดา

บรรดาผู้คนในตรอกต่างหันไปมองปู้ฟางเป็นตาเดียวด้วยความคาดหวัง

ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงปากทางเข้าร้าน กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างไร้ความรู้สึก เมื่อเห็นตรอกที่พังยับเยิน เขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน

“ข้ารู้ว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงมาที่นี่ในวันนี้ เป็นเพราะผลตื่นรู้ทางห้าสายสามผลในมือข้า” เขายกมือที่ถือผลไม้อยู่ขึ้นตามคำพูด ผลตื่นรู้ทางห้าสายในมือชายหนุ่มเล่นเอาทุกคนมองตามเป็นตาเดียว

ทว่าตอนนั้นเองปู้ฟางก็ขยับมือเก็บผลไม้ลงไป

ชายหนุ่มยิ้มแล้วพูดอย่างไร้ความรู้สึก “แต่…ข้าไม่ได้จะให้ผลไม้นี้แก่พวกเจ้าคนใดทั้งสิ้น”

ทุกคนในที่แห่งนี้ชะงักไปทันที ทว่าไม่นานก็เริ่มลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุข

ปู้ฟางไม่ได้วางแผนว่าจะยอมสละผลตื่นรู้ทางห้าสายให้ฝูงชนเช่นนั้นรึ ตั้งใจจะเก็บสมบัตินี้เอาไว้ทั้งหมดคนเดียวเลยเนี่ยนะ

หนึ่งหมื่นผลึก…

ทันใดนั้นทุกคนก็ถอนหายใจออกมา

หน่วยที่ใช้ในการต่อรองเป็นหน่วยผลึกไม่ใช่เหรียญทอง หนึ่งหมื่นผลึก…เป็นราคาที่สูงแทบทะลุฟ้า ทั้งหมดนี้เพื่อซื้อผลตื่นรู้ทางห้าสายเพียงผลเดียว…ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การซื้อขายที่ดีเสียแล้ว

โดยปกติแล้วขั้นนักพรตยุทธการจะมีเงินประมาณหนึ่งหมื่นผลึกพอดี

ทุกคนในฝูงชนรู้สึกว่าปู้ฟางจะต้องรับข้อเสนอนี้ เนื่องจากเงินจำนวนนี้มากเกินกว่าจะปฏิเสธได้

แน่นอนว่าตัวชายหนุ่มเองก็รู้สึกว่าเงื่อนไขนี้ล่อตาล่อใจเช่นกัน หนึ่งหมื่นผลึก…หากเขาสามารถเปลี่ยนเงินจำนวนนี้เป็นขั้นปราณได้ จะช่วยทุ่นเวลาไปได้มาก

“ระบบ หากข้าขายผลไม้นี้ ผลึกที่ได้มาจะนำไปรวมกับรายรับของร้านหรือไม่” เขาเอ่ยถามระบบหลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง

ตอนนั้นเองระบบก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ระบบจะไม่นำไปรวมกับรายรับของร้าน ขั้นปราณของนายท่านขึ้นอยู่กับยอดขายของร้านอาหาร ซึ่งต้องเป็นยอดขายที่มาจากอาหารที่นายท่านทำเท่านั้น หากขายผลไม้นี้ ผลึกที่ได้มาจะไม่นำไปรวมกับขั้นปราณของนายท่าน”

ปู้ฟางหน้านิ่ง แน่นอนอยู่แล้ว…เขารู้ว่าระบบไม่มีทางมอบทางลัดให้แน่ๆ

สายตาที่คาดหวังของทุกคนแสดงให้เห็นว่าพวกเขาคิดว่าถึงอย่างไรชายหนุ่มก็ต้องขายผลไม้นี้อย่างแน่นอน

หัวใจของปู้ฟางเจ็บปวดไปหมด แต่เขาก็กัดฟันตอบเปี้ยนฉางกงไปด้วยเสียงเรียบเสมอต้นเสมอปลาย “ข้าเถ้าแก่ปู้คนนี้ดูเหมือนคนที่ไม่รวยผลึกรึ ไม่ว่าพวกเจ้าจะเสนอเงินให้ข้าสักกี่ผลึกเพื่อซื้อผลไม้นี้…ข้าก็ไม่ขายเด็ดขาด”

อะไรนะ!

คำพูดของชายหนุ่มทำให้ทุกคนอุทานออกมาเสียงดังลั่น เปี้ยนฉางกงเองก็อึ้งไปเช่นกัน ในใจของเขารุ่มร้อนไปด้วยเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยว

“เถ้าแก่ปู้ตั้งใจจะยึดผลไม้นี้เอาไว้คนเดียวจริงๆ เสียด้วย! เข้าไปจับเขาไว้เดี๋ยวนี้!”

“โอกาสนี้ควรจะเป็นของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เหตุใดไอ้หมอนี่ถึงหน้าด้านเก็บไว้คนเดียวกัน! ฆ่ามัน! ฆ่ามันแล้วแย่งผลไม้มา!”

“บัดซบเอ๊ย! นี่เป็นโอกาสงามที่พวกเราจะได้บรรลุขั้นปราณ ทุกคนดาหน้าเข้าไปพร้อมข้าเร็ว!”

คำพูดของชายหนุ่มเปรียบเสมือนมีดที่กรีดลงกลางใจของพวกเขา มันทำลายความหวังของทุกคนเสียแหลกไม่เหลือชิ้นดี ในที่สุดฝูงชนก็ควบคุมตนเองไม่ได้อีกต่อไป

เมื่อมีผู้เข้าร่วมก่อการจลาจลมากพอ ความกลัวเจ้าขาวและอสูรเวทในตำนานก็พลันมลายหายไปสิ้น

บรรดาผู้ฝึกตนที่ล้อมร้านเอาไว้ต่างระเบิดพลังปราณของตนเองออกมา แล้วพุ่งเข้าหาร้านอาหารของปู้ฟางด้วยใบหน้ากระหายเลือด ฝูงชนที่ถาถมเข้ามาทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนจากแรงกระแทก แม้แต่จ่านคงเองยังใบหน้าเปลี่ยนสี

ดวงตาของปู้ฟางยังคงเย็นชาเหมือนเดิม เขามองบรรดาผู้คนที่ละโมบโลภมากแล้วก็ถอนหายใจออกมา

“ในเมื่ออยากตายกันนัก…ก็ตามนั้น”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD