ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD นิยาย บท 282

มณฑลต้าเหอ เมืองชุนฮุย

เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่อู้ฟู่ที่สุดในจักรวรรดิวายุแผ่ว เป็นที่เลื่องลือว่าเป็นเมืองที่เศรษฐกิจเจริญเติบโตมากที่สุด ทั้งยังมีพลเมืองอาศัยอยู่อย่างแน่นหนา แม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่เทียบเท่าเมืองโบราณทั้งสามเมือง แต่ก็ยังเป็นที่รู้จักดีในจักรวรรดิ

ทว่าบรรยากาศของเมืองใหญ่ที่มีชีวิตชีวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลับไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ความรู้สึกวิตกกังวลปกคลุมไปทั่วเมือง คบไฟถูกจุดจนส่องสว่างไปทั่ว ส่วนชาวเมืองก็พากันซ่อนตัวอยู่ในบ้านของตน ต่างตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวและความกระวนกระวาย

กำแพงเมืองสูงตระหง่านปุปะไปด้วยรอยแตกร้าว กองทหารหน้าตาขึงขังยืนอยู่บนกำแพง แต่ละคนสภาพจิตใจเหนื่อยอ่อนหมดเรี่ยวแรง

ที่ด้านนอกเมือง ธงประจำกองทัพปลิวไสวตามสายลมอยู่บนเนินเขาและเทือกเขาสูง เสียงต่อสู้ดุเดือดและเสียงกรีดร้องก้องดังไปทั่ว เหล่านักรบต่างพากันพุ่งเข้าต่อสู้ในสมรภูมิ เสียงโลหะกระทบโลหะดังกึกก้อง ผู้คนกระทบผู้คน อารมณ์ของแต่ละคนเดือดพล่านจากการห้ำหั่นในสนามรบ

จีเฉิงอวี่นั่งอยู่บนม้าศึกเกล็ดมัจฉาเขาเดียวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เขาวาดกระบี่ยาวไปในอากาศแล้วกู่ร้องสุดเสียง

จากนั้นกองทัพด้านหลังชายหนุ่มก็พุ่งไปหากำแพงเมืองชุนฮุยที่ปุปะเป็นรอยร้าว กองทหารของจีเฉิงอวี่มีกำลังใจดีเยี่ยมและมีใจสู้สุดตัว พวกเขากระโจนใส่เป้าหมายเหมือนพยัคฆ์ร้ายที่พร้อมฉีกทำลายทุกสิ่งให้กลายเป็นชิ้นๆ ในห้วงเวลานั้นเมืองชุนฮุยกลายเป็นเหยื่อบาดเจ็บของเสือร้ายในคราบของกองทัพที่สู้เพื่อจีเฉิงอวี่

ประตูเมืองหนักอึ้งของเมืองชุนฮุยส่งเสียงร้องเอี๊ยดอ๊าดอยู่เบื้องหน้า จากนั้นฝูงทหารหาญในชุดเกราะก็พากันพุ่งตัวออกมา ดูราวกับกระบี่คมกริบที่กำลังพุ่งใส่ใจกลางกองทัพของจีเฉิงอวี่ไม่มีผิด

ทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าปะทะกันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ห่าฝนลูกธนูจากบนกำแพงเมืองพุ่งใส่ทหารที่ไร้ทางหลบหลีกด้านล่าง ไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงโลหะปะทะโลหะก็ดังก้องไปทั่วสมรภูมิรบ ก่อนจะถูกเสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความฮึกเหิม เสียงอาวุธพุ่งเข้าปะทะ เสียงร่างกระแทกพื้นจนล้มลุกคลุกคลานกลบไปหมด ต่างฝ่ายต่างตะลุมบอนชุลมุนแยกไม่ออกอีกต่อไปว่าใครเป็นใคร

รังสีสังหารรุนแรงพุ่งขึ้นราวกับหมายทำลายหมู่เมฆบนท้องฟ้าให้มลายหายไป

ทหารนายแล้วนายเล่าร่วงหล่นลงสู่กองเลือดบนพื้นด้านล่าง แต่ผู้รอดชีวิตที่กำลังเลือดขึ้นหน้ากลับไม่มีใครสนใจพวกเขาแม้แต่น้อย ทุกคนยังคงกวัดแกว่งกระบี่คมกริบของตนเองต่อไปด้วยความมุ่งหมายที่จะคร่าชีวิต

นี่ละสงคราม…

ในท้องฟ้าเบื้องบนสูงหลายร้อยลี้…

ร่างในชุดคลุมยาวสีดำกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ ลมเร็วกระโชกแรงหอบเอากลิ่นเลือดคละคลุ้งและรังสีสังหารขึ้นมาจากสมรภูมิเบื้องล่าง ทำให้ชุดคลุมยาวของเขาปลิวไสว ปรมาจารย์อาวุโสแห่งลัทธิอสุราเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย พลังปราณเที่ยงแท้ในกายของเขาแผ่กระจายไปในอากาศ ขณะที่เขากำลูกแก้วสีเทาเอาไว้ในมือ

ลูกแก้วปล่อยกระแสพลังปราณที่แทบจับไม่ได้ออกมา พร้อมด้วยแสงสว่างเจิดจ้าและวงแหวนปราณบนพื้นผิวที่เรืองแสงตอบรับ ราวกับว่าฟื้นฟูพลังของตนเองสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

พลังน่าดึงดูดใจไหลออกจากลูกแก้วเล็กน้อยชนิดแทบจับไม่ได้ แต่ก็ยังเดินหน้าดูดกลืนวิญญาณของนักรบที่สิ้นชีวิตในสนามรบด้านล่างอย่างต่อเนื่อง วิญญาณเหล่านี้มาพร้อมรังสีสังหารและความเกลียดชังเมื่อครั้งยังมีชีวิต ทั้งหมดหลอมรวมกันเป็นผลผลิตที่น่าสยองพองขน ไหลเข้าไปรวมกันอยู่ในลูกแก้วสีเทาลูกนั้น

วิญญาณเหล่านั้นทำให้พลังของลูกโลกวิญญาณล่วงลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกลมหายใจที่ผ่านไปยิ่งทวีความแก่กล้าน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

ดวงตาของปรมาจารย์อาวุโสทอแสงแรงกล้าด้วยความดีใจ ขณะมองไปที่แสงเรืองรองจากลูกแก้วที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ เขาเม้มปากแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเหี่ยวย่นของตนเอง

ท้ายที่สุดแล้วหัวหน้าหมู่หลิวก็จัดให้ปู้ฟางเข้ากองทัพไปจนได้ แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้วิเศษวิโสเหมือนที่เขาสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะกับชายหนุ่ม เนื่องจากกองทัพที่จัดให้ปู้ฟางเข้าไปนั้นไม่ได้เป็นกองทหารลำดับสูงของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับแต่อย่างใด

“ศิษย์พี่ขอรับ… นี่คือกองทหารลำดับสามที่ข้าน้อยผู้ต่ำต้อยคนนี้สังกัดอยู่ ท่านก็น่าจะรู้ดีว่าข้าน้อยผู้ต่ำต้อยคนนี้… จะมีปัญญาส่งท่านเข้าไปในกองทหารลำดับสูงได้อย่างไร” หัวหน้ากองทหารหลิวโค้งต่ำ ใบหน้าหวาดกลัวจับใจ

เขากลัวจริงๆ เหมือนที่แสดงออก เนื่องจากพ่อหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้านั้นไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้ฝึกตนที่มีขั้นปราณซึ่งคนอย่างเขาไม่มีวันจะต่อกรด้วยได้ พลังกดดันเมื่อครู่นั้น… แค่คิดก็ทำให้เขาอกสั่นขวัญกระเจิงไปหมด

“กองทหารลำดับสามของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับเช่นนั้นรึ เจ้าไม่ได้เพิ่งพูดหรือว่ากองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับเป็นกองทัพเดี่ยว” ปู้ฟางถามพร้อมมองหัวหน้าหมู่หลิวด้วยสายตาเคลือบแคลง

“ใช่อย่างท่านว่าขอรับ กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับนั้นเป็นกองทัพเดี่ยว แต่ภายในแบ่งเป็นสามกองย่อยด้วยกัน กองทหารลำดับหนึ่งคือกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด กองทหารลำดับสองคือกองหลัก… ส่วนกองทหารลำดับสามคือกองที่ข้าน้อยผู้นี้ประจำการอยู่ขอรับ…” หัวหน้าหลิวพูดจนจบประโยค ใบหน้าดูอับอายเล็กน้อย

ปู้ฟางขมวดคิ้ว แต่เขาก็พอเข้าใจอะไรๆ ได้รางๆ กองทหารลำดับสามน่าจะเป็นกองทหารที่อ่อนแอที่สุดในหมู่กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับ

แต่ปู้ฟางก็ไม่ได้เสียดายแต่อย่างใด เนื่องจากเป้าหมายของเขาคือการเข้ากองทหารนี้ให้ได้ และฝึกทักษะการทำอาหารของตนให้สำเร็จ เพื่อทำภารกิจของระบบให้เสร็จสิ้นและรับรางวัล

ส่วนเขาจะสังกัดอยู่กองทหารใดนั้น ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย

“ศิษย์พี่ขอรับ ข้าน้อยคนนี้อาจประจำการอยู่เพียงกองทหารลำดับสามก็จริง… แต่ก็ยังถือเป็นหนึ่งในทหารของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับ สำหรับผู้ฝึกตนที่มีพลังปราณกล้าแกร่งอย่างศิษย์พี่… ยังมีความจำเป็นที่ต้องเข้ากองทัพจากทางประตูหลังอีกหรือขอรับ คนที่แข็งแกร่งอย่างศิษย์พี่นั้น แค่ไปหาท่านแม่ทัพของเรา… เรื่องก็น่าจะเรียบร้อยแล้วมิใช่หรือ” หัวหน้าหมู่หลิวมองร่างสูงโปร่งของปู้ฟางแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามสิ่งที่ตนเองสงสัยออกมา

คนที่มีพลังปราณแข็งแกร่งอย่างปู้ฟางแค่ต้องไปหาแม่ทัพใหญ่ก่งเซวียนเท่านั้น ก็จะได้รับตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ไปครองอย่างง่ายดาย เรื่องนี้เขามั่นใจว่าต้องเกิดขึ้นได้แน่นอน และที่ยิ่งไปกว่านั้น… ท่านผู้นี้ยังขอให้เขาพาเข้าหน่วยโรงครัวประจำกองทัพอีกด้วย แต่นั่นเป็นหน่วยสำหรับพ่อครัวมิใช่หรือ ผู้ฝึกตนฝีมือแก่กล้าเช่นนี้จะไปทำอะไรที่นั่นกัน เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD