ร่างหลายร่างกำลังยืนอย่างผ่าเผยอยู่บนกำแพงเมืองโม่หลัว
หูอี้เฟิงสวมชุดหรูหราสีขาว ทว่าผมกลับถูกรวมไว้ลวกๆ บนแผ่นหลัง ส่วนพี่น้องคนอื่นๆ ของกลุ่มสิบสามกองโจรแห่งเมืองโม่จั่วก็ยืนอยู่ด้านหลังของเขาอีกที
“กลุ่มสิบสามกองโจรแห่งเมืองโม่จั่วไม่เคยเผชิญกับความพ่ายแพ้เช่นนี้มาก่อน หากเราหนีหัวซุกหัวซุนอย่างคนขี้ขลาด เหล่าพี่น้องที่พลีชีพไปต้องผิดหวังมากแน่ๆ” ดวงตาของหูอี้เฟิงแดงก่ำ รังสีมุ่งร้ายสะพัดออกจากร่าง ตรงข้ามกับการแต่งกายอันหรูหราของเขาราวหน้ามือเป็นหลังมือ
ตอนนี้กลุ่มสิบสามกองโจรแห่งเมืองโม่จั่วเหลือเพียงเจ็ดคนแล้ว อีกห้าคนสิ้นชีพไปในสนามรบที่สู้รบกับกองทัพของราชาอวี่
“ไอ้จอมยุทธ์ชุดดำที่คุมกองทัพราชาอวี่ผู้นั้น… ต่อให้ข้าต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะลากมันไปลงนรกด้วยกันให้จงได้”
เหล่าพี่น้องอีกหกคนที่อยู่ด้านหลังมีสีหน้าเศร้าโศกและกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความเสียใจ ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดที่เสียแขนไปข้างหนึ่งมองเขม็งลงไปยังกองทัพที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองโม่หลัว ประกายบ้าคลั่งสว่างวาบขึ้นมาในดวงตา
…..
ปู้ฟางไม่รู้ตัวว่าถังอิ่นเดินเข้ามาหาเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับกระทะขนาดใหญ่ทั้งสี่ใบ ชายหนุ่มดูนิ่งสงบขณะกำกระบวยไว้ในมือ พลางผสมวัตถุดิบในกระทะใบใหญ่ทั้งสี่เข้าด้วยกัน กลิ่นหอมหวานเข้มข้นลอยออกมาไม่หยุดหย่อน
“เถ้าแก่ปู้ ศิษย์พี่ปู้” สายตาของถังอิ่นดูงุนงงเล็กน้อย เขานึกว่าตนเห็นภาพหลอนไปเอง จู่ๆ เถ้าแก่ปู้จะมาปรากฏตัวในดินแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือได้อย่างไร
ชายหนุ่มพินิจท่าทางสงบนิ่งของปู้ฟาง พลางรู้สึกว่าท่วงท่าในการทำอาหารของอีกฝ่ายดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง จึงแน่ใจขึ้นมาว่าพ่อครัวที่อยู่ตรงหน้าคือปู้ฟางแน่นอน เพราะตลอดมาท่วงท่าการทำอาหารของเถ้าแก่ปู้นั้นโด่ดเด่นไม่เหมือนใคร
แม่ทัพจูรู้สึกว่าสายตาของถังอิ่นแปลกไป เมื่อมองตามสายตาของอีกฝ่ายเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับอาหารในกระทะขนาดใหญ่ทั้งสี่ ก็แค่คนหนุ่มธรรมดาๆ เองมิใช่หรือ
“ท่านแม่ทัพขอรับ… พ่อหนุ่มนี่ชื่อว่าปู้ฟาง เป็นพ่อครัวใหม่ของโรงครัวประจำกองทหารเรา” เว่ยต้าฝูค้อมตัวเล็กน้อยพลางรีบพูดเสริมขึ้นมา “เจ้าเด็กใหม่นี่เย่อหยิ่งไม่ฟังใคร ข้าเลยให้เขาทำหน้าที่ปรุงอาหารด้วยวัตถุดิบธรรมดาเพื่อเป็นการดัดนิสัย”
“เด็กใหม่หรือ เป็นธรรมดาที่เด็กใหม่จะเย่อหยิ่งมั่นใจในตนเอง แต่ดูเหมือนพ่อหนุ่มนี่จะมีคุณสมบัติที่จะเย่อหยิ่งได้ ทักษะการทำอาหารของเขา… เถียงไม่ได้เลยว่าไม่ดีงาม” จูเยวี่ยพยักหน้าพลางสูดกลิ่นหอมที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ ใบหน้าแสดงความชื่นชมออกมา
ทันทีที่ถังอิ่นได้ยินเว่ยต้าฝูพูด สีหน้าของเขาก็ยิ่งแปลกแปร่งเข้าไปใหญ่ เขาหันไปมองหัวหน้าพ่อครัวพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เย่อหยิ่งไม่ฟังใคร ดัดนิสัยรึ”
“เป็นเช่นนั้น…จริงๆ ขอรับ” สายตาของถังอิ่นทำให้เว่ยต้าฝูหวาดกลัว เขาตอบกลับตะกุกตะกัก
มุมปากของถังอิ่นยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา เขาปัดเสื้อผ้าตัวเองให้เป็นระเบียบก่อนจะเดินตรงไปหาปู้ฟาง
จูเยวี่ยกับเว่ยต้าฝูมองหน้ากันด้วยความงุนงง ลางร้ายพุ่งเข้ามาในใจของหัวหน้าพ่อครัว หรือศิษย์พี่ผู้นี้จะรู้จักมักจี่กับเจ้าหนุ่มนั่น หรือเจ้านั่นจะเป็นศิษย์น้องของคนผู้นี้กันนะ
หัวใจของเว่ยต้าฝูเต้นรัว ใบหน้าบิดเบี้ยวขมขื่น
อาหารที่อยู่ในกระทะทั้งสี่เดือดปุด ควันร้อนพวยพุ่งออกมาไม่ขาดสาย
จู่ๆ ปู้ฟางก็ยกกระบวยในมือออกจากกระทะ แล้วใช้ฝาไม้ปิดกระทะทั้งหมด กักกั้นกลิ่นหอมเข้มข้นเอาไว้ภายใน
เมื่อจัดการกับกระทะเสร็จ เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วเพิ่งได้เห็นคนสามคนที่เดินตรงเข้ามาหา
เขาจำเว่ยต้าฝูกับจูเยวี่ยได้ ส่วนคนที่เดินมาข้างหน้านั้น… เป็นสหายเก่าแก่ของเขาเอง
“ศิษย์พี่… บังเอิญจริงๆ”
ถังอิ่นเดินตรงไปหาปู้ฟางพลางประสานกำปั้นคำนับ พร้อมเอ่ยทักทายอีกฝ่ายด้วยความเคารพนบน้อบ ถังอิ่นเคารพนับถือปู้ฟางมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชายหนุ่มรู้ดีว่าเถ้าแก่ปู้เป็นคนลึกลับ ไม่มีใครเข้าใจคนผู้นี้ได้กระจ่างแม้แต่คนเดียว
ศะ…ศิษย์พี่หรือ
ทันทีที่เว่ยต้าฝูได้ยินถังอิ่นเรียกปู้ฟาง แข้งขาก็ของเขาก็อ่อนยวบหมดเรี่ยวแรง หัวหน้าพ่อครัวแทบลงไปกองอยู่กับพื้น ‘นรกบ้าอะไรกัน เหตุใดผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการถึงเรียกไอ้หนุ่มหน้าอ่อนว่าศิษย์พี่ได้ นี่ไม่ได้เรียนวิธีลำดับญาติสนิทมิตรสหายกันมาหรืออย่างไร’
ปากของจูเยวี่ยอ้าออกน้อยๆ เขาตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด หรือถังอิ่นจะจำเชายหนุ่มผู้นี้สลับกับคนอื่น อย่างไรเสียขั้นปราณของพ่อครัวหน้าใหม่ตรงหน้าก็ดูไม่ได้สูงส่งแต่อย่างใด
“บังเอิญจริงๆ เสียด้วย เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นี่มันค่ายทหารนะ” ปู้ฟางมองหน้าถังอิ่นพลางถามเสียงเรียบ
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย มุมปากของถังอิ่นก็ม้วนขึ้นเล็กน้อย “คำถามนี้ข้าต้องถามท่านต่างหาก เหตุใดพ่อครัวอย่างท่านจึงไม่ใช้ชีวิตสงบสุขอยู่ในร้านของตนเองเพื่อทำอาหารที่ท่านถนัด ท่านมาทำอะไรในกองทัพกันแน่
“ข้ามาร่วมกองทัพเพราะได้รับคำสั่งที่ไม่อาจขัดได้ แต่เถ้าแก่ปู้ในกองทัพเนี่ยนะ แถมยังเป็นกองทัพของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับด้วย มันอยู่ห่างจากนครหลวงตั้งไม่รู้กี่พันลี้”
“ข้ามาเพื่อเรียนรู้การเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ และหาประสบการณ์ในการทำอาหารเพิ่ม เพื่อจะได้ใส่ความรู้สึกลงไปในอาหารที่ทำได้มากขึ้น” ปู้ฟางตอบลอยๆ
เหตุผลที่เขาบอกอีกฝ่ายไปนั้นไร้ซึ่งสาระใดๆ ความจริงที่เขามาที่นี่ก็เพราะจะทำภารกิจของระบบให้สำเร็จและรับรางวัลต่างหาก
แต่ถังอิ่นไม่รู้ความจริงข้อนี้ เมื่อชายหนุ่มได้ฟังคำตอบของปู้ฟาง ความเคารพที่มีต่ออีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปใหญ่ ความรู้สึกนี้ก่อกำเนิดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทักษะการทำอาหารของปู้ฟางจะมาถึงขั้นนี้ได้ นั่นเพราะชายตรงหน้าดูจะท้าทายตัวเองและหมั่นฝึกซ้อมไม่หยุดมือ ทั้งหมดก็เพื่อเพิ่มพูนทักษะการทำอาหารของตนนั่นเอง
การเป็นพ่อครัวในกองทัพที่ต้องเคลื่อนทัพตลอดเป็นงานที่ยากลำบากมาก เพื่อฝึกฝนทักษะการทำอาการ เถ้าแก้ปู้ไม่ได้ใส่ใจกับความยากลำบากที่ต้องเผชิญในกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับแม้แต่น้อย บุคคลที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงเช่นนี้ คนรุ่นเขาควรจะยึดถือเอาเป็นแบบอย่างอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะประกอบสัมมาอาชีพใด หากต้องการประสบความสำเร็จ ความมานะบากบั่นเป็นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD